พระบูชาพระป่าตาลน้อย (พระเจ้าแข้งคม ) วัดศรีเกิด จ.เชียงใหม่ พระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ ประดิษฐานบนฐานบัวมีผ้าทิพย์ ความโดดเด่นอยู่ที่พระชงฆ์(หน้าแข้ง ) มีลักษณะเป็นสันคมจึงเป็นที่มาของพระนามท่าน ใต้ฐานด้านหน้าสลักชื่อว่า พระป่าตาลน้อย (แข้งคม ) ที่ฐานด้านหลังมีตราสัญลักษณ์ กองบิน 41 จ.เชียงใหม่ พ.ศ.2536 (มีบางข้อมูลลงว่าจัดสร้างโดยกองบิน 41) หน้าตักองค์พระ 9 นิ้ว ฐานกว้าง 12.5 นิ้ว ความสูงรวมฐาน 16.5 นิ้ว สภาพศิลป์สวย เข้มขลัง ทุกมุมมอง องค์พระสวยสมบูรณ์ ไม่ค่อยพบเจอ อาจด้วยจำนวนการสร้างที่ไม่มาก นำของสวยๆหายากมาแบ่งปันกันเบาๆ เน้นไว ทัก โทร 0979204119/ID Line 0979204119
ข้อมูล พระเจ้าแข้งคม
สถานที่ประดิษฐาน วิหารวัดศรีเกิด ถนนราชดำเนิน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พุทธลักษณะ ศิลปะล้านนา ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ ขนาด หน้าตักกว้าง ๙๔ นิ้ววัสดุ สำริดลงรักปิดทอง
วัดศรีเกิดหรือวัดพิชารามเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ที่ขนย้ายมาจากวัดร้างนอกเมือง
พระพุทธรูปองค์นี้มีนานตั้งแต่แรกสร้างว่า พระป่าตาลน้อยแต่เนื่องจากองค์พระมีลักษณะเด่นคือพระชงฆ์(หน้าแข้งเป็นสันคมเห็นได้ชัด ผู้คนจึงพากันเรียกขานตามสำเนียงพื้นเมืองว่า พระเจ้าแค่งคมหรือพระเจ้าแข่งคมแทน
พระเจ้าแค่งคมหล่อขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราช เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๐ โดยใช้ทองสำริด หนัก ๓๓ แสน (หรือเท่ากับ ๓๙๖๐ กิโลกรัม) ทำการหล่อ ณ วัดตาลวันมหาวิหาร(วัดป่าตาล) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้(ปัจจุบันนี้คือ บริเวณหลังโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ)นอกเมือง โดยพระเจ้าติโลกราชมีพระประสงค์ให้เป็นพระพุทธรูปแบบลวปุระ เมื่อหล่อเสร็จทรงบรรจุพระธาตุ ๕๐๐ องค์แล้วขนานนามว่า พระป่าตาลน้อยประดิษฐานอยู่ที่วัดป่าตาลมาเป็นเวลาถึง ๓๑๖ ปี อย่างไรดีพระเจ้าแค่งคมที่เห็นในปัจจุบัน นักวิชาการศิลปะมีความเห็นว่ามีพุทธศิลปะเป็นแบบสุโขทัยผสมล้านนามากกว่าแบบลพบุรี
ในปี ๒๓๔๒ วัดป่าตาลได้กลายเป็นวัดร้างชำรุดทรุดโทรมเป็นที่น่าเศร้าใจ เจ้าเมืองเชียงใหม่ขณะนั้นคือ พระเจ้ากาวิสะ จึงให้เชิญพระป่าตาลน้อยมายังวัดศรีเกิดโดยสร้างวิหารขึ้นประดิษฐานสืบมาจนปัจจุบัน
ประวัติพระเจ้าแข้งคม
พระเจ้าแข้งคม เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มากองค์หนึ่งของล้านนา ลักษณะของพระพุทธรูปแข้งคมมีความแตกต่างจากแบบแผนของศิลปะล้านนาที่มีมาแต่เดิมอย่างเห็นได้ชัดคือ พระชงฆ์เป็นสัน (แข้งคม) พระพักตร์สี่เหลี่ยม พระเนตรโปน พระโอษฐ์หนา ขอบพระโอษฐ์ซ้อนกัน ๒ เส้น มีไรพระศก ขมวดพระเกศาเป็นเม็ดเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง สังฆาฏิเป็นแผ่นขนาดใหญ่ยาวลงมาจรดพระนาภี ปลายเป็นริ้วพับซ้อนกัน พระหัตถ์ขวาวางอยู่กึ่งกลางพระชงฆ์ นิ้วพระหัตถ์ยาวไม่เสมอกัน ลักษณะดังกล่าวนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับพระพุทธรูปแบบอู่ทองรุ่นที่ ๒ ที่มีอิทธิพลของศิลปะเขมรแบบบายนและศิลปะอยุธยาเข้ามาปะปนอยู่ด้วย จากลักษณะหน้าแข้งพระพุทธรูปทำเป็นสันขึ้นมา จึงเรียกว่า “พระเจ้าแข้งคม”
กล่าวไว้ว่า ในปีพ.ศ. ๒๐๒๗ ปีเถาะ วันพุธ ขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๘ พระเจ้าสิริธรรมจักรพรรดิพิลกราชาธิราช (พระเจ้าติโลกราช) กษัตริย์นครเชียงใหม่ล้านนา รัชกาลที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์มังราย ทรงมอบภาระให้สีหโคตเสนาบดีและมหาอำมาตรหล่อพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ โดยมีทองสัมฤทธิ์หนักประมาณสามสิบสามแสน (๓,๓๐๐,๐๐๐) ประมาณ ๓,๙๖๐ กิโลกรัม ขนาดหน้าตักกว้าง ๙๔ นิ้ว (๒.๓๙ เมตร) สูง ๑๑๒ นิ้ว (๒.๘๕ เมตร) โดยมีลักษณะเหมือนพระพุทธรูปแบบลวปุระ (ศิลปะแบบลพบุรี) หล่อที่วัดป่าตาลมหาวิหาร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของนครเชียงใหม่ ครั้นหล่อเสร็จแล้ว พระมหากษัตริย์ทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุประมาณ ๕๐๐ องค์ พร้อมกับพระพุทธรูปแก้วทองและเงิน จากหอพระธาตุส่วนพระองค์มาบรรจุไว้ในเศียรพระพุทธรูปองค์ใหญ่นี้
วัดป่าตาลมหาวิหาร มีพระเถระชื่อธรรมทินนะเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะและเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย พระเจ้าธรรมจักรพรรดิพิกมลราชาธิราช ครองราชย์สมบัติได้ ๔๕ ปี ก็สวรรคต ในปีมะแม รวมสิริอายุได้ ๗๘ ปี พระเจ้าแข้งคม ประดิษฐานอยู่ที่วัดป่าตาลมหาวิหารนานได้ ๓๑๕ ปี (ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๐๒๗ - ๒๓๔๒) ต่อมา พ.ศ. ๒๓๔๒ ปีมะแม เดือน ๓ ออก ขึ้น ๗ ค่ำ วันพฤหัสบดี สมเด็จปวัตตสีหลวงมหาโพธิรุกขาพิชชาราม (ครูบานันทา) เจ้าอาวาสวัดศรีเกิด ร่วมกับสมเด็จเชษฐาบรมพิตราธิราช (หนานกาวิละ) ผู้ครองนครเชียงใหม่ ได้นำน้ำพุทธาภิเษกมหาสุริยวงศ์กษัตราธิราชเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ พระวงศานุวงศ์ ไพร่ฟ้าพลเมือง ได้อาราธนา (นิมนต์) พระเจ้าแข้งคม จากวัดร้างป่าตาลวรวิหาร นอกแจ่งกู่เมืองมาประดิษฐานไว้ในวิหาร วัดศรีเกิด ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จนถึงปัจจุบันนี้
ทุกปีในเทศกาลสงกรานต์จะมีการสรงน้ำพระธาตุหน้าพระวิหาร ในวันที่ 15 เมษายน และจะมีการสรงน้ำพระเจ้าแข้งคมด้วย
|