รูปหล่อเจ้าพ่อพะวอ จังหวัดตาก เทศบาลตำบลแม่สอดสร้าง ปี 2538 เนื้อนวะโลหะ พิมพ์ใหญ่ พร้อมกล่องเดิม
ครูบาสร้อย วัดมงคลคีรีเขตร์ ปลุกเสก
ตำนานเจ้าพ่อพะวอ ศาลเจ้าพ่อพะวอ ตั้งอยู่บนเนินเขาพะวอ บนถนนสายตาก - แม่สอด บริเวณหลักกิโลเมตรที่ ๖๒ - ๖๓ ก่อนที่จะถึงอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประมาณ ๑๗ กิโลเมตร ศาลนี้เป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองตากและชาวอำเภอแม่สอดเป็นอย่างมาก
ท่านเจ้าพ่อพะวอ เป็นชายชาตินักรบชาวกะเหรี่ยงปะกากะญอ มีศักดิ์ฐานะเป็นนายด่านแม่ละเมา เมืองหน้าด่านของไทยในรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คอยดูแลรักษาหาข่าวแจ้งเหตุ เมื่อมีเหตุหรือข้าศึกศัตรูรุกล้ำแดนมา จากบุคลิกภาพของท่านแสดงถึงเอกลักษณ์ของนักรบโบราณ เรือนกายกำยำสูงใหญ่ ถือง้าวเป็นอาวุธ ใบหน้าเครียดขึงขังดุดัน แต่แววตาแฝงด้วยความเมตตาปรานี
พะวอ เป็นชื่อของชนชาติกะเหรี่ยง คำนำหน้าว่า พะ ก็คือ นาย คำว่า วอ อาจจะแผลงมาจาก วา แปลว่า ขาว หรือ นายขาว พะวา อาจจะเพี้ยนเสียงมาเป็น พะวอ ก็ได้ ส่วนคำว่า พะวอฮ์ ออกเสียง วอ อยู่ในลำคอ พาวอฮ์ ก็คือ นายแดง นั่นเอง (คำนี้เป็นข้อมูลใหม่ ที่ชาวเผล่อ และชาวปกากะญอเสนอแนะมา)
ส่วนขุนเขา ผาวอ ที่อาจจะเพี้ยนเสียงมาเป็น พะวอ ก็ได้เหมือนกัน ผาวอ เป็นขุนเขาที่ตั้งของด่านแม่ละเมา เป็นขุนเขาที่มีรูโหว่เป็นโพลงถ้ำ อาจจะเรียก ผาโหว่ ก็ได้ ชาวกะเหรี่ยงซึ่งเป็นเจ้าถิ่นเดิมแห่งนี้ อาจจะเรียกว่า พาวอ หรือ พะวอได้เหมือนกัน ตำนานเมืองเหนือ กล่าวถึงวีรบุรุษชาตินักรบปกากะญอนี้ว่า ป้อเจ้าหลวงผาวอ
ต้นปีมะแมสัปตศก ปีพุทธศักราช ๒๓๑๘ ขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงประทับอยู่ที่เมืองหลวง ทรงทราบว่า ด่านแม่ละเมาสามารถจับตัวนายครัวมอญที่แตกหนีพม่าจากเมืองเมาะตะมะ เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ทำให้พระองค์ทรงทราบว่าอะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพแห่งกรุงอังวะ อาจจะยกทัพใหญ่เพื่อติดตามครัวมอญเข้ามาตีไทยอย่างแน่นอน และทรงเชื่อว่าอะแซหวุ่นกี้ตระเตรียมทัพใหญ่ต้องเข้ามาตีทางหัวเมืองฝ่ายเหนือเพื่อตัดกำลังของไทย ก็มิได้นิ่งนอนพระทัย ดำรัสสั่งเกณฑ์กองทัพทั้งทางบก และทางเรือสรรพด้วยช้างม้า เครื่องสรรพวุธพร้อมเสร็จ พลฉกรรจ์ลำเครื่อง ทั้งไทยจีนจำนวนมาก โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรี และเจ้าพระยาสุรสีห์ พร้อมขุนศึกนายกองมือฉกาจ ขึ้นไปสืบราชการศึกป้องกันหัวเมืองหน้าด่านที่สำคัญเอาไว้ สั่งกรมพลาเรื่องอาหารการกินให้สมบูรณ์ อย่าให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง
ลุเดือน ๑๑ ปีมะแมสัปตศก ปีพุทธศักราช ๑๓๑๘ ครานั้น.. อะแซหวุ่นกี้ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าอังวะ ได้เคลื่อนทัพมายังไทยโดยจัดเป็นทัพใหญ่ทัพเดียว มีมังแยยางูผู้น้อง กับ กละโบ่ ปันยีแยช่องจ่อ ปันยีจวง ถือพลสองหมื่นห้าคุมทัพหน้า ตะแดงมอระหน่อง และเจ้าเมืองตองอูเป็นทัพกลาง อะแซหวุ่นกี้เป็นโบชุกแม่ทัพหลวง ถือพลหมื่นห้าพันคนรั้งท้าย สรรพด้วยช้างม้าเครื่องสรรพวุธพร้อมเสร็จ เคลื่อนทัพจากเมืองเมาะตะมะ ข้ามแม่น้ำต่องยิน แล้วหยุดทัพไว้ที่นั่น การเคลื่อนทัพของพม่าอยู่ในสายตาของทหารไทยบนยอดเขาผาวอ ที่อยู่เหนือด่านแม่ละเมาตลอดเวลา ท่านเจ้าพ่อพะวอจึงให้ม้าเร็วนำข่าวไปแจ้งยังเมืองตาก เมืองระแหง เมืองกำแพงเพชร และเมืองอื่นๆ ตามรายทางเพื่อรวบรวมกำลังไว้ตีต้านพม่า แต่ท่านเจ้าพ่อพะวอ และไพร่พลผู้กล้าหาญทั้งหลายหารู้ไม่ว่า เมืองต่างๆ เห็นว่าพม่ายกทัพมาครั้งนี้มีแสนยานุภาพอันยิ่งใหญ่เหลือกำลังที่จะตีต้านได้ ต่างอพยพครอบครัวหนีไป แล้วส่งหนังสือบอกไปถึงทัพของเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ให้แจ้งไปยังกรุงธนบุรีกราบทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ
ลุ…ถึงปลายเดือนสิบเอ็ด ปีมะแมสัปตศก พุทธศักราช ๒๓๑๘ (๓๑ ตุลาคม) ครานั้น… กองทัพอันเกรียงไกรของพม่า เคลื่อนทัพมาถึงด่านแม่ละเมาในเพลานั้น เจ้าพ่อพะวอตัดสินใจนำกำลังที่มีอยู่เข้าปะทะกับข้าศึกอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เป็นการขัดตาทัพ และประวิงเวลา รอกำลังส่วนหนึ่งจากเมืองตากที่ท่านเจ้าพ่อพะวอเข้าใจว่าจะมาช่วยเหลือทัน นายด่านพะวอ และทหารกล้าทั้งหลาย ได้เข้าต่อสู้กับพม่าด้วยน้ำใจที่ห้าวหาญ และแล้วน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใด..... ท่านรู้ดีว่ากำลังของพม่านั้นเหลือคนานับ ท่านรู้ได้ดีว่ากำลังส่วนหนึ่งที่เข้าใจว่าจะมาช่วย คงช่วยไม่ทันศึกครานี้เป็นแน่ จักต้องสู้เพื่อศักดิ์ศรีของคนไทย ขอถวายชีวิตเป็นชาติพลี จักได้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ลูกหลานสืบไป ท่านและทหารกล้าได้ต่อสู้กับพม่าอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทุกคนยอมตายถวายชีวิตไม่ยอมหลบหนีศัตรูแม้แต่ก้าวเดียว ทุกท่านถึงแก่ชีวิต ณ ยุทธภูมิด่านแม่ละเมา เชิงเขาผาวอแห่งนี้
เรื่องราวและหลักฐานต่างๆ เป็นตำนานเล่าขานของผู้เฒ่าผู้แก่มาหลายชั่วคน ถึงวีรกรรมของนายด่านพะวอที่ปักหลักสู้กับพม่าอย่างยิบตา ที่กองทัพพม่ากรีธาทัพหลวงเป็นครั้งสุดท้ายผ่านด่านแม่ละเมา ไปยังเมืองตาก เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า ท่านและผู้กล้าทั้งหลาย คือวีรบุรุษผู้กล้าหาญ ผู้มีความเสียสละชีพเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินอันเป็นมรดก ที่บุรพชนชาติไทยได้สละชีวิตปกป้องอย่างหวงแหนสืบทอดกันมาจนถึงยุคสมัยของท่าน ท่านเจ้าพ่อพะวอ และผู้กล้าหาญทั้งหลาย แม้ว่าจะมิได้มีชื่อในพระราชพงศาวดาร แม้จะมิได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณ ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อย่างใกล้ชิด แต่ถือได้ว่า ท่านเป็นข้าแผ่นดินโดยตรงที่รับราชการเป็นผู้รักษาประตูเมืองด่านแรกของไทย แม้จะเป็นซีกเสี้ยวส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์บอกเล่าของท้องถิ่นถึงการรุกรานของข้าศึกศัตรูผ่านด่าน ผ่านหมู่บ้านเป็นที่ตั้งกองสอดแนมเพียงกระหยิบมือเพียงชั่วครูชั่วยามก็ตามที แต่นั่น…..คือที่มาของเกียรติประวัติของผู้กล้าหาญทั้งหลายที่ถูกเล่าขานกันต่อๆ มา ที่สมควรแก่การยกย่องและเคารพเทิดทูนวีรกรรมของท่าน
ความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจบารมีของท่าน ผู้คนจากทุกสารทิศต่างหลั่งไหล แวะเวียนมากราบไหว้บูชามิได้ขาด กล่าวกันว่าท่านเจ้าพ่อพะวอ สามารถดลบันดาลความสุข ความสำเร็จ ความนิรันตรายทั้งปวงได้อย่างปาฏิหาริย์ และอัศจรรย์ที่สุด
มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยที่บ้านเมืองยังไม่พัฒนาและเจริญเหมือนทุกวันนี้ หากมีเหตุอันตราย หรือมีภัยพิบัติกับราษฎรแถบถิ่นนี้ มักจะได้ยินเสียงแผดคำรามของ อาม๊อก หรือที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็น ปืนหิน ที่อยู่บนชะง่อนผาขุนเขาผาวอเป็นอัศจรรย์ ทำนองเดียวกันของวันนั้นในยามค่ำคืน จะได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งรอบๆ ตัวเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ผสานกับเสียงพรวนที่ผูกติดด้วย
รูปจำลองของท่านเจ้าพ่อพะวอ บ่งบอกถึงลักษณะของชายชาตินักรบ ชุดแต่งกายที่สมเกียรติศักดิ์ศรี จากบุคลิกภาพของท่าน แสดงถึงเอกลักษณ์ของนักรบโบราณ ใบหน้าเครียดขึงขังดุดัน เรือนกายกำยำสูงใหญ่ ถือง้าวเป็นอาวุธคู่กาย แต่แววตาแฝงด้วยความเมตตาปรานี
ด้วยเหตุที่ท่านเป็นนักรบโบราณจึงชอบเสียงปืนและประทัดมาก จึงมีผู้ยิงปืนและจุดประทัดถวายทุกครั้งหรือไม่ก็จะบีบแตรแสดงความคารวะเมื่อสัญจรผ่านไปมา
ชาวบ้านเล่ากันมาว่า “พอถึงฤดูฝนที่นี่จะได้ยินเสียง อาม๊อก (เสียงปืนใหญ่) เสียงนี้จะดังลั่นสนั่นไปทั่วทั้งเมืองและหุบเขา เชื่อกันว่าเป็นการเตือนจากเจ้าพ่อพะวอว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นต้นฝนก็หมายความว่า ลงพืชไร่ได้ แต่ถ้าเป็นฤดูแล้ง หมายความว่า จะเกิดอาเพศ”
แม้ว่าท่านจะล่วงลับไปนานกว่าสองร้อยปี แต่วีรกรรมอันห้าวหาญของท่าน เป็นการประกาศศักดิ์ศรี ให้อนุชนทั่วไปได้รับรู้ และจะเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อไปยังอนุชนรุ่นหลัง ให้ยึดถือเป็นแบบอย่าง สักขีพยานที่บ่งบอกถึงความศรัทธาอย่างแรงกล้า ของอนุชนทั่วไป ก็คือ ความเคารพศรัทธาอย่างแนบแน่น ที่ไม่มีวันเสื่อมคลายนั่นเอง
|