หลวงพ่อพระครูสิริรัตนาภรณ์หรือเรียกกันว่า หลวงพ่อครูบากัญไชย ท่านเกิดปีเถาะ วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2485 ที่บ้านศรีบุญเรือง ตำบลม่วงตึ๊ด อำเภอเมือง จังหวัดน่าน มีนามเดิมว่า เด็กชายดวงคำ พลายสาร บิดาชื่อนายยศ มารดาชื่อนางต่อม พลายสาร หลวงพ่อเป็นบุตรคนที่ 5 มีพี่น้องชายหญิงรวมกันทั้งหมด 9 คน
ชีวิตในวัยเด็ก ท่านเป็นคนที่มีความจำดีเยี่ยม มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีจิตใจโอบอ้อมอารี สุภาพอ่อนน้อม รู้จักสัมมาคารวะ และเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไปในหมู่บ้าน เมื่ออายุได้ 13 ปี บิดาได้นำไปฝากเป็นศิษย์วัด อยู่กับเจ้าอธิบการขัติยศ โชติธฺโม เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง และเจ้าคณะตำบลม่วงตึ๊ด อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ท่านได้เรียนหนังสือล้านนาไทยพื้นเมืองเหนือจนแตกฉาน และวิชาลงอักขระอาคมด้วย พร้อมกับเข้าเรียนหนังสือไทย ณ โรงเรียนประชาบาล ที่วัดม่วงตึ๊ด จังหวัดน่าน จนสำเร็จชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
พอได้อายุ 16 ปี ได้บรรพชาเป็นพระภิกษุ โดยมีพระอธิการกัญจนะวงศ์ เจ้าอาวาสวัดม่วงตึ๊ด เป็นพระอุปัชฌาย์ และเปลี่ยนชื่อให้ท่านใหม่ว่า กัญไชย เมื่ออายุครบ 20 ปี หลวงพ่อได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2478 ณ พัทธสีมาวัดม่วงตึ๊ด จังหวัดน่าน โดยมีพระครูนันท-สมณาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดน่าน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูธรรมสิริสุนทร เจ้าอาวาสวัดภูมินทร์ เป็นพระกรรมวาจารย์ พระครูสิริธรรมกิต เจ้าอาวาสวัดอภัยเป็นอนุสาวจารย์ได้รับฉายาว่า
กัญไชยกาญจโน หลังจากที่หลวงพ่อได้อุปสมทบเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย และศึกษาค้นคว้าวิชาอาคมจากสมุดข่อยกับครูบาอาจารย์ดังๆหลายท่าน จนในที่สุดหลวงปู่ขัติยศ โชติธฺมโม ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมที่เล่าเรียนมาให้กับหลวงพ่อจนหมดสิ้น รวมทั้งชี้แนวทางการปฏิบัติจิตฝึกฝนด้านวิปัสสนากรรมฐาน การบำเพ็ญตนให้อยู่ในศีลอันบริสุทธิ์อย่างเคร่งครัด หลวงพ่อยังมีความสามารถในด้านก่อสร้างซึ่งฝากผลงานมากมายให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สาธารณชนตราบเท่าทุกวันนี้จนเมื่อครั้งมีการซ่อมแซมพระธาตุของวัดแช่แห้ง จังหวัดน่าน ท่านจะแบกถังทรายและผสมปูนเอง จนน้ำปูนกระฉอกเข้าหู และเป็นสาเหตุให้หูทั้งสองข้างพิการนับแต่นั้นมา
ต่อมาปี พ.ศ. 2480 หลวงพ่อได้พัฒนาบูรณะซ่อมแซมก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ในวัดท่าน้าวและอีกหลายวัด รวมทั้งช่วยตัดถนนหนทางและสร้างสะพานจนปรากฏความดีความชอบ โดยกระทรวงมหาดไทยได้มอบโล่เงิน 1 อัน โล่ทอง นาค 1 อัน ให้เป็นอนุสรณ์
มีอยู่วันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อได้แผ่เมตตาจิตพระธรรมวินัยญาณ เหมือนนิมิตไปว่าท่านกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังทางทิศตะวันตกของประเทศที่มีป่าเขาทึบ มีภูเขาสูงเสียดฟ้า ทำให้ท่านคิดได้ว่า อยากจะสร้างเสนาสนะให้กับวัดที่ยากไร้ในถิ่นทุรกันดารสักแห่งสองแห่งของทิศดังกล่าว แล้วจะกลับมายังจังหวัดน่าน
ปี พ.ศ. 2493 ท่านไดกราบลาพระเดชพระคุณหลวงปู่ขัติยศ ออกจากวัดศรีบุญเรือง จังหวัดน่านมุ่งตรงไปยังอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในขณะนั้นระยะทางจากจังหวัดตากไปยังอำเภอแม่สอด ยังไม่มีทางรถยนต์วิ่ง ท่านต้องเดินทางด้วยเท้าขึ้นเขาลงห้วยพักแรมตามระหว่างทาง 3 คืน 4 คืน จนถึงอำเภอแม่สอด และท่านได้พำนักอยู่ ณ วัดดอนไชย อำเภอแม่สอด เป็นเวลาพอสมควร
ในขณะพักอยู่ที่วัดดอนไชย ท่านได้ปฏิสังขรณ์เสนาสนะให้กับวัดดอนไชยอย่างมากมายขณะเดียวกันได้สร้างพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญวัดอรัญเขต พระอุโบสถ วัดมณีไพสณฑ์ จนชื่อเสียงของท่านเลื่องลือไปทั่วของการเป็นพระนักพัฒนาเป็นนายช่างก่อสร้างวัดวาอาราม
เมื่อท่านได้ปฏิสังขรณ์เสนาสนะของวัดต่าง ๆ จนเป็นที่พอใจตามที่ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เตรียมตัวจะเดินทางกลับยังจังหวัดน่าน ขณะเดียวกันนั้น นายยศ คำมา และ นายมูล กริยา พร้อมด้วยคณะทายก ทายิกา วัดมาตานุสรณ์ ตำบลแม่กาษา อำเภอแม่สอด พร้อมด้วยชาวบ้านจำนวนมาก ได้พร้อมใจกันกราบอาราธนา นิมนต์หลวงพ่อไปจำพรรษาที่วัดเพราะวัดไม่มีพระภิกษุประจำมีเพียงสามเณร ท่านจึงรับนิมนต์ไว้ และตั้งใจว่าจะขออยู่เพียงแค่ 1 พรรษาเท่านั้น เมื่อออกพรรษาแล้วคณะทายกทายิกา ผู้อุปการะวัดได้ปรึกษาหารือที่จะสร้างพระวิหารของวัด เนื่องด้วยวิหารหลังเก่าชำรุดทรุดโทรมมาก ด้วยความมีเมตตาจิต หลวงพ่อ จำเป็นต้องอยู่ช่วยสร้างพระวิหารจนแล้วเสร็จ พร้อมกับขอพระราชทาน วิสุงคามสีมา ให้แก่วัดมาตานุสรณ์เมื่อปลายปี 2494 ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาต เมื่อปี พ.ศ. 2495 ทางวัดจึงทำพิธีฝังลูกนิมิต และผูกพัทธสีมาในปีนั้น
ต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2496 หลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดมาตานุสรณ์ อย่างเป็นทางการ นับแต่นั้นมาหลวงพ่อได้สร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ที่ล้วนแล้วเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนมากมายนานัปการ เจตนารมณ์ของท่านอีกประการหนึ่งก็คือปลุกจิตสำนึกให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของน้ำ เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ป่าซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร จนเกิดโครงการที่มีชื่อว่า “ปลูกป่าเสริมศรัทธา ครูบากัญไชย ร่วมใจอนุรักษ์แหล่งน้ำ”
สมณศักดิ์ของหลวงพ่อครูบากัญไชยได้รับกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นพระครูสิริรัตนาภรณ์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2512 และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลแม่กาษา เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2533 หลวงพ่อเป็นผู้มีจิตเมตตาสูง ไม่เคยปฏิเสธเมื่อมีผู้เดือดร้อนมาพึ่งบารมีจากท่าน บางครั้งท่านไม่สบายนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ตึกสงฆ์อาพาธโรงพยาบาลแม่สอด ก็ยังไม่เคยปฏิเสธในกิจของสงฆ์
หลวงพ่อได้ตรากตรำทำงานหนักจนเกิดอาพาธหนักสุด เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2541 หลังจากกลับมาจากงานบำเพ็ญกุศลศพ หลวงพ่อนนท์ พลายสาร พี่ชายของหลวงพ่อที่จังหวัดน่าน หลวงพ่อได้ตั้งปณิธานโดยไม่ฉันอาหารเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งปกติท่านฉันหนเดียวเป็นนิตย์ตลอดมาตั้งแต่อายุ 60 ปี แม้จะอาพาธหนักก็มิได้เลิกละแต่ประการใด สุขภาพของท่านแย่ลงเนื่องด้วยไม่ได้พักผ่อน กอปรกับการอดอาหารทำให้หลวงพ่อมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว คณะศิษยานุศิษย์ได้นำท่านไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ อาการหลวงพ่อกลับดีขึ้น ด้วยบุญบารมีของหลวงพ่อที่ได้สั่งสมไว้ ทำให้สุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม แต่ก็เข้าออกโรงพยาบาลแม่สอดด้วยโรคหลอดลมอักเสบธรรมดาเพียงเท่านั้น
หลวงพ่อเข้ารับการรักษาอีกครั้งเมื่อคณะศิษยานุศิษย์เห็นว่าท่านไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ จึงนำท่านเข้าพักรักษาที่ตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลแม่สอด เมื่อเวลา 03.00 น. ของวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542 ซึ่งท่านปรารถนาว่าเป็นวันอัมฤทธิ์สะโชค (อมฤตโชค) ตำราล้านนา ถือว่าเป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ หลวงพ่อได้ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อบ่ายของวันเดียวกัน
เพื่อให้คณะศิษยานุศิษย์ได้หายข้องใจ คณะแพทย์ได้พยายามช่วยเหลือจนสุดความสามารถและให้ทุกคนได้เห็นว่าหลวงพ่อได้ละสังขารของท่านจริง ๆ แล้ว เมื่อเวลา 22.04 น. ของวันอังคารที่ 9 แรม 9 ค่ำ เดือนกุมภาพันธ์ 2542 สิริอายุรวม 83 ปี 8 เดือน 7 วัน 64 พรรษา
ในวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำสรงศพแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูบากัญไชย กาญจโน โดยมี นายปานชัย บวรรัตนปราน รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นผู้อัญเชิญน้ำสรงศพพระราชทาน มีพุทธศาสนิกชน คณะสงฆ์ และคณะศรัทธาสาธุชนที่เลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อ มาร่วมพิธีกันเป็นจำนวนมาก และตั้งศพของท่านบำเพ็ญกุศลในมหาวิหารวัดมาตานุสรณ์โดยบรรจุศพของหลวงพ่อในโลงแก้วเพื่อให้สานุศิษย์ พุทธศาสนิกชนได้นมัสการกราบไหว้บูชา
แม้ว่าหลวงพ่อได้ละสังขารจากโลกนี้ไปได้สองปีเศษแล้วก็ตาม แต่ร่างกายของหลวงพ่อที่บรรจุในโลงแก้วยังไม่เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา เหมือนหลวงพ่อยังนอนหลับอยู่อย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว
|