พระล้านนาดอทคอม แหล่งรวมพระเครื่องเมืองเหนือ
เครื่องรางของขลัง

นางกวัก ไม้มะเดื่อชุมพร อายุ ๔๐๐ ปี ยุคต้น


นางกวัก ไม้มะเดื่อชุมพร อายุ ๔๐๐ ปี ยุคต้น


นางกวัก ไม้มะเดื่อชุมพร อายุ ๔๐๐ ปี ยุคต้น

ชื่อพระ :
 นางกวัก ไม้มะเดื่อชุมพร อายุ ๔๐๐ ปี ยุคต้น
รายละเอียด :
 นางกวัก เป็น สุดยอดเครื่องรางของขลังที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ โดยเฉพาะไม้มะเดื่อชุมพร ที่สร้างขึ้นโดยหลักตำราโบราณ ที่มีการตัดต้นไม้มะเดื่อชุมพรตามฤกษ์ยาม ที่กำหนดด้วยการพลีตัวเอง นั่นคือการบังสกุลตาย และบังสกุลเป็นเมื่อพลีต้นไม้( ตัดต้นไม้) สำเร็จ แม้แต่การตัดต้นไม้ ไม่สำเร็จตามฤกษ์ยาม ก็ต้องบังสกุลเป็นเสียก่อน มิฉะนั้นก็จะเสียชีวิตตาม จึงถือได้ว่าเป็นต้นไม้อาถรรพ์ ซึ่งพระอาจารย์พิจารย์ วิจารโณ ได้ให้ลูกศิษย์แกะเป็นแม่นางกวัก เพียง ๙๙ องค์
นางกวัก เป็นสุดยอดเครื่องรางของขลัง ที่มอบให้กับพ่อค้า-แม่ค้า อีกทั้งประชาชนทั่วไป โดยให้บูชาที่บ้าน, ห้าง, ร้าน, หรืออราธนาติดตัว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ในเรื่องธุรกิจการค้า ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน กวักลูกค้า เงิน ทอง และทำให้เป็นเสน่ห์มหานิยม โดยจะเห็นว่า ผู้ใดมีนางกวักไม้มะเดื่อชุมพรบูชาติดบ้านหรือห้างร้าน แม้แต่อาราธนาติดตัวมักจะสำเร็จในธุรกิจการค้า ความสำเร็จก้าวหน้าในหน้าที่ การงาน หรือคนในบังคับบัญชามีความรักใคร่กลมเกลียว ครอบครัวมีความสุข เดินทางไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรักใคร่ เจรจาพาทีกับใครก็มีแต่คนเชื่อถือ เรียก ว่าใครมีไว้บูชาก็จะได้พบกับความมีเสน่ห์ ประสบแต่ความสุข ความร่ำรวย สำหรับคนที่รวยอยู่แล้วก็จะรวยยิ่งๆขึ้น และมีความสุขควบคู่ไปด้วย
พระพิจารย์ วิจารโณ จารอักขระด้วยคาถา“ ทะนัง โภคัง ทุสะมะนิ ”ลงบนนางกวักไม้มะเดื่อชุมพรในตำแหน่งต่าง ๆ ดังนี้ ๑. ลง ธะนัง แขนข้าวขวา ๒. ลง โภ คัง แขนข้างซ้าย ๓. ลง ทุ ตรงตำแหน่งหัวใจ ๔. ลง สะ ตรงหน้าอกด้านขวา ๕. ลง มะ บริเวณหน้าผาก ๖. ลง นิ บริเวณ กลางหลัง ฐานลงด้วย จินดามนต์ ด้วยคาถา “ มะ อะ อุ สิ วัง พรหมาจิตตัง มานิมา”
การ ตั้งหิ้งบูชา ควรตั้งไว้บนหิ้งเฉพาะ โดยให้ต่ำกว่าหิ้งพระเล็กน้อย เนื่องจากนางกวักเป็นเทพนารี และให้หันหน้า ออกหน้าร้านค้า โดยบูชาด้วย ดอกไม้สด เช่น กุหลาบ, มะลิ, ดอกเข็ม, อาหารควรงดเว้นจำพวกเนื้อสัตว์ โดยใช้อาหารประเภทผัก ผลไม้ และขนมหวานควรเลือกเฉพาะชื่อมงคล เช่น ขนุน, มะม่วง, ส้ม, มะพร้าว, ทองหยิบ, ทองเอก, ฝอยทอง, เป็นต้น สิ่งสำคัญควรตั้งน้ำสะอาดเปลี่ยนทุกวัน สำหรับน้ำที่เลือกจากการบูชาควรนำไปพรมสิ่งของขายหรือรดต้นว่าน หรือต้นไม้ มงคล เพราะถือว่าเราได้สวดบูชาสิ่งมงคลไปแล้ว

ในสมัยพุทธกาล มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีชื่อ สุจิตตพราหมณ์ ภรรยาชื่อ สุมณฑา มีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองมิจฉิกาสัณฑนคร ใกล้กรุงสาวัตถี ในชมพูทวีป มีอาชีพค้าขายสินค้าเล็กๆ น้อยๆ มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวอยู่รอดไปวัน ๆ
ต่อ มา 2 สามีภรรยาคิดจะขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น เมื่อมีรายได้มากพอจะตั้งเนื้อตั้งตัว จึงตัดสินใจซื้อเกวียนเพื่อบรรทุกสินค้าไปขายยังต่างเมือง และซื้อสินค้าต่างเมืองกลับมาขายที่เมืองมิจฉิกาสัณฑนคร ซึ่งบางครั้งบุตรสาวที่ชื่อ สุภาวดี ก็ขอติดตามบิดามารดาไปด้วย
ระหว่าง เดินทางไปต่างเมืองกับบิดามารดานั้น สาวน้อยสุภาวดีมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระกุมารกัสสปเถระ ขณะจาริกแสดงธรรมเทศนาตามหมู่บ้านต่างๆ นางรู้สึกซาบซึ้งพระธรรมจนเข้าถึงพระรัตนตรัย
เมื่อพระกุมาร กัสสปเถระ เห็นนางเลื่อมใสศรัทธาเช่นนั้น จึงได้กำหนดจิตรวมพลังซึ่งเป็นอำนาจจิตของพระอรหันต์ ประสิทธิ์ประสาทพรสาวน้อยสุภาวดีและครอบครัว ให้เจริญรุ่งเรืองด้วยทรัพย์สินเงินทองจากอาชีพค้าขาย และยังได้ประสิทธิ์ประสาทพรเช่นนี้ทุกครั้งที่นางไปฟังธรรมด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อ บิดามารดาเดินทางไปค้าขายอีกเมือง นางสุภาวดีก็มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระศิวลีเถระ ซึ่งจาริกไปแสดงธรรมตามตำบลต่างๆ เช่นกัน จนนางมีความรู้แตกฉานในหลักธรรม และได้รับเมตตาจากพระศิวลีเถระเช่นเดียวกับที่ได้จากพระกุมารกัสสปเถระ
พระ ศิวลีเถระนั้นนับว่ามีความมหัศจรรย์แตกต่างจากคนทั่วไปคือท่านอยู่ในครรภ์ มารดาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วันก่อนคลอด ทำให้เป็นผู้มีพลังจิตกล้าแข็ง เมื่อท่านกำหนดจิตให้พรนางสุภาวดี พรของท่านจึงมีพลังเป็นพิเศษ
ด้วย บุญบารมีที่สาวน้อยสุภาวดีได้รับพรจากพระอรหันต์ถึง 2 องค์ เมื่อนางติดเกวียนบิดามารดาไปค้าขายที่เมืองใด จึงทำให้ค้าขายได้คล่อง ต่างจากครั้งที่นางไม่ได้ไป ซึ่งท่านสุจิตตพราหมณ์ และท่านสุมณฑา บิดามารดาก็รู้สึกถึงความแตกต่างนี้ว่ามาจากบุญบารมีของบุตรสาว จึงให้นางติดเกวียนไปด้วยทุกครั้ง จำทำให้ครอบครัวร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นทุกทีถึงขั้นเศรษฐี และยังมั่งคั่งขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
ต่อมาเมื่อร่ำรวย เป็นเศรษฐีแล้ว ท่านสุจิตตพราหมณ์ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธองค์ บังเกิดศรัทธาแรงกล้า และปฏิบัติธรรมอยู่ในขั้นโสดาบันบุคคล ได้ถวายอุทยานชื่อ อัมพาฎกวัน อุทิศเป็นสังฆทานให้เป็นที่พักพระภิกษุสงฆ์ ทั้งยังสร้างวิหารหลังใหญ่ไว้กลางอุทยานเป็นวัดขึ้น ตั้งชื่อว่า วัดมัจฉิกาสัณฑาราม และนิมนต์พระสุธรรมเถระ มาเป็นเจ้าอาวาส
ท่านสุจิตต พราหมณ์ ยังเป็นคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ชอบช่วยเหลือคน เมื่อเดินทางไปค้าขายยังเมืองไกล ท่านก็ประกาศถามพระภิกษุสงฆ์ พระภิกษุณีตลอดจนประชาชนผู้เป็นพุทธบริษัททั้งหลายรวมทั้งผู้ที่นับถือนิกาย อื่นด้วยว่า ใครจะไปทางเดียวกับท่านบ้าง ซึ่งบางครั้งก็มีคนแจ้งความประสงค์นับพัน ท่านก็จัดเกวียนรับคนเหล่านั้นไปด้วยตามประสงค์ ทำให้ผู้คนต่างสรรเสริญในคุณงามมีจิตเมตตาต่อผู้คนทั่วไปของท่าน และเมื่อพูดกันถึงท่านสุจิตตพราหมณ์ ก็จะพูดกันถึงอานุภาพความขลังของสาวน้อยสุภาวดีที่ทำให้บิดามารดาร่ำรวย้วย จึงพากันยกย่องบูชาในอานุภาพของนางที่ดลบัดดาลให้เกิดโชคลาภทางการค้า
กาล เวลาผ่านไป จนท่านสุจิตตพราหมณ์ และท่านสุมณฑาละสังขาร ส่วนนางสุภาวดีก็แก่ชราจนละสังขารตามบิดามารดาไป แต่คุณงามความดี ความขลัง และความศักดิ์สิทธิ์ของนางสุภาวดีก็ยังได้รับการเชื่อถือ กราบไว้บูชาต่อไป ผู้ที่ให้ความเคารพนับถือนาง มีคนที่อยู่ในวรรณะทั้ง 4 ครบทุกวรรณะคือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และ ศูทร เมื่อจะปรารถนาให้ตนร่ำรวยจากการค้า ก็จะหารูปปั้นของนางสุภาวดีมาตั้งบูชา และอัญเชิญวิญญาณของนางมาสถิตในรูปปั้น
ต่อมาเมื่อมีผู้ที่ เคารพกราบไหว้รูปปั้นนางแล้วร่ำรวยรุ่งเรืองขึ้นจากการค้า ก็มีผู้ศรัทธานิยมทำตามกันมากขึ้น และแพร่หลายกว้างขวางออกไป
เมื่อ พุทธศาสนาและลัทธิพราหมณ์ได้แพร่เข้ามาสู่สุวรรณภูมิ พวกพราหมณ์ซึ่งนิยมทางพิธีกรรมและเวทมนตร์คาถาต่างๆ ก็ได้นำรูปปั้นของนางสุภาวดีเข้ามาด้วย โดยจำลองมาจากท่านั่งขายของบนเกวียนและทำเป็นรูปกวักมือให้คนเข้ามาหาหรือมา ซื้อสินค้า แต่แรกก็ทำขึ้นไว้เพื่อกราบไหว้บูชาเอง ต่อมาเมื่อมีผู้เลื่อมใส จึงทำตัวเป็นอาจารย์ปลุกเสกรูปปั้นนี้แจกจ่ายให้ผู้ที่ทำการค้า จนรูปปั้นแม่นางสุภาวดีได้รับความนิยมในหมู่ผู้ทำมาค้าขาย และขยายไปทั่ว ซึ่งได้เรียกกันตามท่านั่งของนางว่า “นางกวัก”
2,500 กว่าปีแล้วที่นางสุภาวดีนั่งกวักมือเรียกลูกค้า จนพัฒนาขึ้นเป็นขยับมือกวักได้ ถ้านางไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว คงไม่ได้นั่งกวักมาจนถึงทุกวันนี้

พระพิจารย์ วิจารโณ

ชาติกำเนิด เป็นบุตรนายสมาน – นางสมศรี พลายบางมด เกษตรชาวสวน เกิด เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่ตำบลบางมด เขตบางขุนเทียน เป็นบุตรคนที่ ๖ ในจำนวนพี่น้อง ๙ คน

การศึกษาทางโลก เริ่มจากโรงเรียนชั้นปฐมต้นที่โรงเรียนวัดยายรม ปฐมปลายที่โรงเรียนวัดใหม่สีสุก

มัธยมต้นและมัธยมปลายที่โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ เขตบางขุนเทียน จบปริญญาตรีรัฐศาสตร์บัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ชีวิตในวัยเด็ก เนื่อง จากอยู่ครอบครัวเกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างชาวชนบททั่วไป วัยเด็กติดปู่ ย่า เข้าวัดในวันพระอยู่เสมอ ๆ บางวันต้องพายเรือ นำหมาก พลูและไม้กวาดของโยมย่าไปถวายหลวงปู่บุญมี ( พระถาวรพรหมานุกูล เจ้าอาวาสวัดไทรในขณะนั้น ) จึงได้รับความเมตตาอบรมกรรมฐานเบื้องต้นแต่เยาว์วัย ประกอบกับคติความเชื่อในสมัยนั้น ปู่ ย่า พ่อ แม่ มักนำลูกชายไปถวายเป็นลูกบุญธรรมพระเถระ เพื่อให้เป็นลูกพระลูกเจ้า ว่านอนสอนง่ายและอยู่รอดปลอดภัย กับหลวงปู่ผล วัดหนัง บางขุนเทียน หลวงปู่เอื้อน วัดบางขุนเทียนกลาง หลวงปู่มิ่ง วัดกก เป็นต้น

ชีวิตในชนบท ฝึก ให้ต้องมานะอดทนต้องช่วยพี่ๆ พายเรือตามคลองไปส่งส้มและผลไม้ที่ตลาดดาวคะนอง ( เขตจอมทองปัจจุบัน ) ต้องเดินเป็นระยะทางนับเกือบ ๑๐ ก.ม. กว่าจะจบการชั้นมัธยม

ชีวิตในวัยหนุ่ม แม้เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ยังรักการตระเวนไหว้พระเถระฝากตัวเป็นศิษย์ ขอพรและขอคำแนะนำในภูมิเวทย์ ภูมิธรรมอยู่เสมอ เช่น หลวงพ่อหงส์ วัดบางพลีใหญ่ในจังหวัดสมุทรสาคร หลวง พ่อหยอด วัดแก้วเจริญ จังหวัดสมุทรสงคราม หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม จังหวัดนครปฐม พระอาจารย์บุญลือ วัดคำหยาด จังหวัดอ่างทอง หลวงพ่อทองหยิบ วัดบ้านกลาง จังหวัดอ่างทอง และครูฆราวาส ต่างมี ครูชุบ ครูเล็ก ครูต้อ ( หลานหลวงพ่อพุธ สารสุข ) ครูนรงค์ เผือกเที่ยง ( ศิษย์หลวงพ่อเพชร กัญถเถโก ) เนืองจากเป็นผู้สนใจในทางเวทย์และอักขระอาคม ขณะอายุได้เพียง ๒๕ ปี ก็สามารถ เขียน อ่าน ตำราอักขระขอมโบราณต่างๆได้เป็นพื้นฐานให้ได้ศึกษาตำรับตำรา สมุดข่อยมากมายในเวลาต่อมา

ชีวิตในร่มกาสาวพัตร อุปสมบทครั้งแรกเมื่อจบปริญญาตรีเป็นการบวชตามประเพณีของชายไทย ณ. วัดชลประทานรังสฤษฏ์ ( บวชหมู่ ) โดยมีพระครูปัญญานันทะ เป็นอุปํชฌาย์ และได้ลงไปปฏิบัติศึกษากับหลวงพ่อพุทธทาส ที่สวนโมกข์พลารามอยู่ระยะหนึ่ง ครั้นพ้นพรรษาก็ได้ลาสิกขาบทประกอบอาชีพการงานอยู่นับสิบปีเศษ เมื่อมีวันหยุดวันว่างก็ยังตระเวนกราบไหว้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายอยู่เสมอๆ ยังขวนขวายในตำหรับตำราอยู่เป็นนิจย์

การอุปสมบท ครั้งที่ ๒ เนื่องจากไม่ได้สมรสมีครอบครัว จึงไม่มีภาระพันธะใดๆ นอกจากทำนุบำรุงบิดามารดาตามหน้าที่ ครั้นโยมแม่ป่วยด้วยอาการความจำเสื่อม ตั้งใจบวชเป็นกุศลเดือนหนึ่ง ขณะอายุได้ ๔๓ ปี โดยอุปสมบท ณ วัดโพธิผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพระครูประจักษ์สุตคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์และมีวัดโพธิผักไห่นี้เอง ได้ค้นพบตำราเก่ามากมาย ซึ่งเก็บรักษาไว้แต่โบราณ โดยพระครูพิสิษฐ์สังฆการ อดีต จ.อ. ( ครองวัดแต่พ.ศ. ๒๔๕๙ – พ.ศ. ๒๔๘๐ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ) และพระครูบวรสังฆกิจ ( ครองวัด พ.ศ.๒๔๘๐ – พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นศิษย์หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ) ด้วยวัยที่เริ่มมองเห็นสัจจธรรมประกอบกับรักสงบ และสันโดษ จึงอธิฐานชีวิตเพื่อศาสนธรรมตลอดชีพ เริ่มรวบรวมตำราต่างๆ ของวัดโพธิผักไห่ซึ่งมีอยู่มากมาย ตำราของหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ตำราของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เก็บรวบรวมมีดหมอ และฤาษีของครูบาอาจารย์ต่างๆ ขึ้นบูชา ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ เริ่มสร้างวัตถุมงคลต่างๆเพื่อแจกกฐินและผ้าป่าพัฒนาวัดและโรงเรียนมาจน ปัจจุบันนี้
 
ราคาเปิดประมูล :
 2499 บาท
ราคาสูงสุด ขณะนี้ :
 2499 บาท
ราคาที่ต้องเพิ่มขึ้น ขั้นต่ำ :
 100 บาท

เงื่อนไขการรับประกัน :
 แท้

ผู้ตั้งประมูล :
 อินทร์ อ่อนนิ่ม
ที่อยู่ :
  นายอินทร์อ่อนนิ่ม หมู่บ้านคลองพุดซา 34/4 ม.17 ต.บางกระสั้น อ.บางปะอิน จ.อยุธยา 13160 ไทย

เบอร์โทรติดต่อ :
  0627964936, 0627964936
E-mail :
 inonnim@gmail.com

ชื่อบัญชี :
 นายอินทร์อ่อนนิ่ม
เลขที่ บัญชี :
 5742651395
ประเภท บัญชี :
 ออมทรัพย์
ธนาคาร :
 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
สาขา :
 บางปะอิน

วันที่ :
 Fri 4, Mar 2011 13:54:28
โดย : อินทร์    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   Fri 4, Mar 2011 13:54:28
 
 
ประมูล นางกวัก ไม้มะเดื่อชุมพร อายุ ๔๐๐ ปี ยุคต้น : พระล้านนา.คอม เว็บ พระเครื่อง พระบูชา อันดับหนึ่ง ของภาคเหนือ ออกแบบเว็บไซต์โดย 2WinWeb design บริการรับทำเว็บไซต์
Copyright Pralanna.com All right reserved. © สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดย บริษัท พระล้านนาดอทคอม จำกัด.