พระล้านนาดอทคอม แหล่งรวมพระเครื่องเมืองเหนือ
อู้ได้ซะป๊ะเรื่อง

คาถามหาเสน่ห์จีบสาวที่นักโทษประหารให้ไว้ในวันสุดท้ายของชีวิต ณแดนประหาร

   
 

น.ช.ตะปอยโฮ,ตองยุ้น,ปอย  ไม่มีนามสกุล (เชื้อสายกระเหรี่ยง สัญชาติพม่า) อายุ 52 ปี  หมายเลขประจำตัว 26/40  คดีฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4)(7),81  หมายเลขคดีดำที่ 783/39  หมายเลขคดีแดงที่ 1084/39  ศาลจังหวัดสีคิ้ว  เหตุเกิดพื้นที่สถานีตำรวจภูธรตำบลคลองไผ่  อำเภอสีคิ้ว  จังหวัดนครราชสีมา

 
                   วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2539  เวลา 08.30 น.  เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ต.คลองไผ่  รับแจ้งเหตุฆ่ากันตาย  ที่บ้านเลขที่ 266/3  หมู่ที่ 7  ตำบลคลองไผ่  อำเภอสีคิ้ว  จังหวัดนครราชสีมา  จึงรีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ  ซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวเปิดเป็นร้านขายของชำ  ภายในบ้านพบศพด.ญ.วิยะดา หรือน้องเอ๋  ศรีบุญเพ็ง  อายุ 7 ขวบ  นักเรียนชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนนิยมมิตรวิทยา  นอนเสียชีวิตอยู่  มีบาดแผลถูกจามด้วยขวานเข้าที่ศรีษะจนกะโหลกยุบ  และที่หน้าห้องน้ำพบศพด.ช.เพิ่มพล หรือน้องตี๋  แก้วสม  อายุ 5 ขวบ  นักเรียนชั้นอนุบาล 1  โรงเรียนเดียวกัน  นอนเสียชีวิตอยู่โดยถูกจามด้วยขวานเข้าที่ศรีษะเช่นกัน  ภายในห้องน้ำพบศพนางพร  ทาหาญ  อายุ 58 ปี  มีบาดแผลถูกขวานฟันที่ศรีษะถึง 3 แผล  คาดว่าทั้ง 3 ศพเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง
 
                   จากการตรวจสอบภายในที่เกิดเหตุพบร่องรอยต่อสู้  ข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจายเกลื่อนห้อง  ที่โทรทัศน์พบว่าจอภาพแตกระเอียด  มีคราบเลือดเกรอะกรังและเส้นผมติดอยู่เป็นกระจุก ส่วนทรัพย์สินต่างๆของนางพร เช่น  สร้อยคอทองคำ  พระเลี่ยมทอง  ตุ้มหูทองคำ และเงินสดจำนวน 1,170 บาทยังอยู่ครบ โดยคนร้ายไม่ได้แตะต้องทรัพย์สินแต่อย่างใด
 
                   จากการสอบปากคำพยานทราบว่า  นางพรเป็นยายของน้องเอ๋และน้องตี๋  โดยทั้ง 3 คนอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน  ก่อนเกิดเหตุช่วงเย็นวันที่ 4 ก.พ. 39  มีคนเห็นนายตะปอยโฮ  ชาวกระเหรี่ยง  สัญชาติพม่า  ซึ่งมีสัมพันธ์กับนางพร  มาหานางพรที่บ้านเพื่อทวงเงินจำนวน 7,000 บาท  ที่นายตะปอยโฮฝากไว้  แต่นางพรไม่ยอมคืนเงินดังกล่าวให้  จึงเกิดทะเลาะกันอย่างรุนแรง  จนกระทั่งกลางดึกวันเดียวกัน  ได้ยินเสียงนางพรกรีดร้องโหยหวนแล้วเงียบเสียงไป  จนรุ่งเช้าจึงมีผู้มาพบศพทั้ง 3 คนได้ถูกฆ่าตายไปแล้ว  ส่วนนายตะปอยโฮได้หายตัวไป
 
                   เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่านายตะปอยโฮ  คือคนร้ายที่ลงมือสังหารโหดในครั้งนี้อย่างแน่นอน  จึงได้ส่งกำลังตำรวจพร้อมด้วยสุนัขดมกลิ่น  ออกปิดล้อมบริเวณเทือกเขาพริก-เขากระโดน  ตำบลคลองไผ่  อำเภอสีคิ้ว  ซึ่งคาดว่านายตะปอยโฮจะต้องหลบหนีอยู่ในละแวกดังกล่าว  โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความระมัดระวังในการจับกุม  เนื่องจากนายตะปอยโฮพกขวานติดตัวตลอดเวลา  
 
                   จากการตรวจสอบประวัตินายตะปอยโฮทราบว่า  เมื่อปีพ.ศ.2516 เคยก่อคดีฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจตายที่อำเภอแม่เสรียง  จังหวัดเชียงราย  และถูกจำคุกในคดีดังกล่าว  ภายหลังถูกส่งตัวมาคุมขังที่เรือนจำกลางคลองไผ่  และพ้นโทษไปเมื่อปีพ.ศ.2522  หลังพ้นโทษได้ไปพักอาศัยอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งของสภ.ต.คลองไผ่  มีอาชีพรับจ้างทั่วไป  และหาของป่าบริเวณเขาพริกออกมาขาย  ทำให้ชำนาญในพื้นที่ดังกล่าวเป็นอย่างดี
 
                   วันที่ 6 กุมพาพันธ์ 2539  เวลา 09.00 น.  เจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ  จังหวัดนครราชสีมา  ได้เข้าร่วมกับตำรวจท้องที่ในการติดตามหาตัวนายตะปอยโฮ  โดยใช้เครื่องบินเล็กใบพัดเดียวร่วมขึ้นบินตรวจหา  พร้อมกับใช้สุนัขตำรวจและสุนัขทหารมาสับเปลี่ยนกันดมกลิ่นติดตาม  ต่อมามีชาวบ้านแจ้งว่าเมื่อคืนวันที่ 5 ก.พ. 39  นายตะปอยโฮได้ลงมาขอเสบียงอาหารจากชาวบ้านที่บริเวณเชิงเขาบ้านเกศทิพย์  เมื่อเห็นตำรวจยังตรวจค้นอยู่บริเวณนั้น  ได้หลบหนีกลับขึ้นเขาไปอีก  เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามไล่ล่าหาตัว  แต่เนื่องจากนายตะปอยโฮมีความชำนาญพื้นที่ดังกล่าวมากกว่า  ประกอบกับพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเป็นภูเขาสูงชัน  ป่าไม้หนาทึบมีหนามแหลมคมจำนวนมาก  เป็นอุปสรรคต่อการติดตามของเจ้าหน้าที่อย่างมาก  ทำให้นายตะปอยโฮสามารถหลบหนีฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปได้อีก
 
                   วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2539  เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ร่วมกันติดตามค้นหานายตะปอยโฮ  เริ่มอ่อนล้าไปตามๆกัน  และได้ขอความร่วมมือจากกำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  ตลอดจนชาวบ้าน  ให้ช่วยติดตามแจ้งเบาะแสต่างๆที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่  เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามล่าตัวนายตะปอยโฮ  ต่อมามีชาวบ้านที่เข้าไปหาของป่าในเทือกเขาพริก-เขากระโดน  ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดที่ทำการตรวจค้นอยู่ว่า  พบนายตะปอยโฮยังอยู่ในเทือกเขาดังกล่าว  และตนยังได้พูดคุยด้วย  โดยนายตะปอยโฮยังได้บอกกับตนว่ามีแผนจะลงมือสังหารนายแก่น  นายแดง (ขอสงวนนามสกุล)  ชาวบ้านหมู่บ้านโนนลำใย-เขาพริกอีกด้วย  เพราะเชื่อว่าทั้งสองเป็นตัวการที่ทำให้นายตะปอยโฮเกิดการแตกแยกกับนางพร  จนเกิดการฆ่ากันตายขึ้น  เมื่อทราบดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดกำลังไปคุ้มครองดูแลคนทั้งสองทันที  พร้อมกับคอยซุ่มดักจับกุมตัวนายตะปอยโฮ  เผื่อว่าลงจากเขามาเพื่อทำตามที่พูดไว้จริง
                  
                   วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539  เจ้าหน้าที่ยังคงใช้ความพยายามในการติดตามล่าตัวนายตะปอยโฮ  โดยขอร้องชาวบ้านอย่าได้เกิดความสงสาร  ช่วยเหลือเสบียงอาหารแก่นายตะปอยโฮ  เพื่อเป็นการกดดันให้ออกมามอบตัว  แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังคว้าน้ำเหลวอยู่เช่นเดิม
 
                   วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2539 หลังเกิดเหตุฆ่า 3 ศพได้ผ่านมาแล้ว 10 วัน  เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสภ.ต.คลองไผ่  สภ.อ.สีคิ้ว  และหน่วยปฏิบัติการพิเศษของจังหวัดนครราชสีมา  ยังคงร่วมกันกดดันไล่ล่านายตะปอยโฮอย่างไม่ละความพยายาม  โดยสับเปลี่ยนกำลังกันออกค้นหาอย่างเต็มที่
 
                   วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2539  เวลา 17.00 น.  จากการทำงานอย่างเต็มที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ได้พบนายตะปอยโฮหลบซ่อนตัวอยู่ที่เชิงเขาพริก-เขากระโดน  จึงเข้าทำการปิดล้อมและสามารถจับกุมตัวได้  นำตัวมาทำการสอบสวนที่สภ.ต.คลองไผ่ในทันที
 
                   ผลการสอบสวนในเบื้องต้น  นายตะปอยโฮให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา  โดยให้การถึงสาเหตุในการก่อคดีดังกล่าวว่า  ตนและนางพรได้อยู่กินฉันผัวเมียมาแล้วประมาณ 4 เดือน  ต่อมานางพรได้พยายามตีตัวออกห่าง  โดยอ้างว่ารังเกียจที่ตนชอบเมาเหล้า  แต่ตนรู้มาว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเนื่องมาจากมีคนคอยยุยงใส่ร้ายตน  หวังที่จะให้ตนเลิกกับนางพรให้ได้ 
 
                   ในวันเกิดเหตุเวลาเย็นตนได้ไปหานางพรที่บ้าน  และนั่งกินเหล้าอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว  ในระหว่างนั้นได้ทวงถามถึงเงินที่ตนได้ฝากนางพรไว้จำนวน 7,000 บาท  แต่ปรากฏว่านางพรได้บอกปัดความรับผิดชอบ  และปฏิเสธที่จะคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ตน  จึงเกิดทะเลาะกันขึ้นอย่างรุนแรงแต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ตกดึกขณะที่ตนเมาเหล้า  ได้ทวงถามถึงเงินอีก  พร้อมกับถามถึงสาเหตุที่นางพรพยายามจะเลิกกับตน  แต่ว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง  เกิดทะเลาะกันอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  แต่ครั้งนี้ตนได้เกิดบันดานโทสะขึ้นมา  กระชากขวานที่ตนพกติดตัวอยู่ตลอดเวลาออกมา  นางพรเห็นดังนั้นได้อุ้มน้องตี๋หลานชายวิ่งหลบหนีไปทางห้องน้ำ  ตนไล่ตามไปและใช้ขวานฟันไปที่นางพรอย่างแรง  จนน้องตี๋หล่นจากอ้อมกอด  ตนจึงใช้ขวานฟันไปที่ศรีษะน้องตี๋ 1 ครั้งจนแน่นิ่งไป  เสร็จแล้วได้ตามนางพรเข้าไปภายในห้องน้ำ  นางพรได้ร้องขอชีวิตและพยายามร้องเรียกให้คนช่วยแต่ตนไม่สนใจ  ใช้ขวานฟันที่ศรีษะนางพรหลายครั้งจนเงียบเสียงไป 
 
                   เมื่อออกมาจากห้องน้ำ  เห็นน้องเอ๋หลานสาวนางพรซึ่งยืนดูเหตุการณ์ตลอด  พยายามที่จะวิ่งหนีตนเพื่อเอาตัวรอด  ตนจึงไล่จับตัวเด็กไว้ได้  พร้อมกับจับร่างเหวี่ยงฟาดไปที่โทรทัศน์จนแตกกระจาย  เมื่อปล่อยร่างของน้องเอ๋ลงแล้ว  ตนได้ใช้ขวานฟันซ้ำไปที่ศรีษะน้องเอ๋อีกหนึ่งครั้งจนแน่นิ่งไปอีกคน  เสร็จแล้วได้หลบหนีขึ้นไปหลบซ่อนตัวที่เทือกเขาพริก-เขากระโดน  ซึ่งตนขึ้นลงอยู่เป็นประจำจนชำนาญพื้นที่เป็นอย่างดี  และเชื่อว่าตำรวจคงไม่สามารถจับกุมตัวเองได้  มีหลายครั้งที่หวุดหวิดจะถูกจับได้  แต่ตนอาศัยความชำนาญหลบหลีกมาได้ตลอด  ตนตั้งใจว่าถ้าตำรวจเลิกติดตามและเรื่องเงียบไปเมื่อใด  จะกลับลงไปสังหารผู้ที่ยุแหย่ให้นางพรเลิกกับตน  แต่มาถูกตำรวจจับกุมได้เสียก่อน
 
                   หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว  ได้ขออำนาจศาลนำตัวไปฝากขังไว้ที่เรือนจำอำเภอสีคิ้ว  และรวบรวมสำนวนพยานหลักฐานต่างๆส่งมอบให้อัยการ  เพื่อส่งฟ้องนายตะปอยโฮต่อศาลจังหวัดสีคิ้ว 
 
                   ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้น  ได้ตัดสินให้ประหารชีวิตนายตะปอยโฮ  โดยไม่มีการลดหย่อนโทษให้แต่อย่างใด  เนื่องจากพฤติกรรมที่โหดเหี้ยม  ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กเล็กที่ยังไม่รู้เดียงสา  หลังจากได้ถูกศาลตัดสินแล้ว  ทางเรือนจำอำเภอสีคิ้วได้ส่งตัวข.ช.ตะปอยโฮมาคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวางทันที  ข.ช.ตะปอยโฮได้ขอยื่นอุทธรณ์ต่อศาลตามสิทธิ์  ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์  ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น  ข.ช.ตะปอยโฮได้ยื่นฎีกาต่อศาลตามสิทธิ์อีก  ผลการพิจารณาของศาลฎีกา  ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์  เป็นนักโทษเด็ดขาดรอการประหารชีวิต  น.ช.ตะปอยโฮได้ทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์ที่กฎหมายกำหนด  และรอผลการพิจารณาอยู่ที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1
 
                   วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2542  เวลา 10.20 น.  หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รับแจ้งอย่างเป็นความลับว่าจะมีการประหารชีวิตนักโทษจำนวน 3 ราย  ข้าพเจ้าได้จัดเตรียมกุญแจมือ  และมีดคัตเตอร์สำหรับตัดด้ายดิบ  ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน  เสร็จแล้วข้าพเจ้าได้สวดมนต์ไหว้พระทำจิตใจให้สงบ  พร้อมกับจุดธูปบูชาท้าวเวชสุวรรณที่ข้าพเจ้านับถือ  และรอเวลาเบิกตัวนักโทษเพื่อทำตามขั้นตอนการประหาร
 
                   เวลา 16.10 น.  หลังจากทราบรายชื่อนักโทษชายทั้ง 2 รายที่จะถูกประหารในวันนี้แล้ว  ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทั้งหมด  ได้เข้าไปที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 เพื่อทำการเบิกตัว  โดยข้าพเจ้ารับหน้าที่เบิกตัวน.ช.ตะปอยโฮ  เมื่อเข้าไปถึงตึกขัง  ได้ยินเสียงเฮฮาแว่วออกมาจากข้างใน  เนื่องจากขณะนั้นได้มีการประกาศพระราชทานอภัยโทษออกมาแล้ว  และอยู่ในระหว่างการตรวจสอบว่าใครมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ในการได้รับพระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้  ซึ่งการประกาศพระราชอภัยโทษในครั้งนั้น  มีคดีหลายประเภทที่ไม่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ  โดยเฉพาะคดีจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ  และคดีฆ่าที่โหดร้ายทารุณ  แต่นักโทษในคดีดังกล่าวก็ยังมีความหวัง  เนื่องจากมีการปล่อยข่าวออกมาว่า  กำลังมีการพิจารณาใหม่  เพื่อให้ทุกคดีมีสิทธิ์ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษในครั้งนี้
 
                   เมื่อเสียงไขกุญแจประตูตึกดังขึ้น  เสียงต่างๆได้เงียบลงทันที  ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทั้งหมดเดินเข้าไปภายใน  นักโทษประหารที่อยู่ในห้องต่างมีสีหน้าตื่นตกใจ  บางรายได้ถามข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงนายอื่นในทำนองเดียวกันว่า “ หัวหน้าครับ  อภัยโทษกำลังที่จะประกาศออกมาแล้ว  ทำไมถึงมีการประหารพวกผมอยู่อีก  ล้อกันเล่นหรือเปล่าครับ”  ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า “ ที่จะประกาศออกมานั้น  ผมเองยังไม่เห็นหรือรู้ว่ามีคดีอะไรบ้างที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ  เมื่อมีคำสั่งให้พวกผมมาเบิกตัว  พวกผมก็ต้องทำตามหน้าที่  ขอให้ทุกคนเข้าใจด้วย  พวกผมรู้ว่าทุกคนรู้สึกอย่างไร  ไม่ใช่ว่าพวกผมอยากทำ  แต่จนใจที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรให้ได้  ต้องขอโทษทุกคนด้วย”  นักโทษประหารทุกคนในขณะนั้นต่างมีสีหน้าสลด  ซึ่งตัวข้าพเจ้าเองมีความรู้สึกสงสารทุกคนเป็นอย่างมาก
 
                   ที่ห้องขังน.ช.ตะปอยโฮ  เมื่อข้าพเจ้าไปหยุดยืนที่หน้าห้อง  ภายในห้องทั้งหมดต่างนั่งตัวแข็ง  รอว่าผู้ใดจะเป็นผู้โชคร้ายถูกขานชื่อขึ้นมา  ในวันนั้นหัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางเป็นผู้เรียกชื่อ  เมื่อน.ช.ตะปอยโฮได้ยินเสียงเรียกชื่อแล้ว  ก็ยอมเดินออกมาแต่โดยดี  ข้าพเจ้าเป็นผู้สวมกุญแจมือ  และตรวจค้นตัว  นำตัวออกจากตึกขังในทันที  น.ช.ตะปอยโฮมีการการสั่นกลัว  เหงื่อแตกออกมาเต็มใบหน้า  มือเย็นเฉียบ  และได้พูดกับข้าพเจ้า “หัวหน้าครับจะซ้อมผมก่อนยิงหรือเปล่า  ผมขอเถอะนะครับอย่าทำผมกันอีกเลย  ผมผิดไปแล้ว  เห็นใจผมบ้างนะครับผมโดนมามากแล้ว  ตั้งแต่โดนจับตัวมาได้  ผมถูกซ้อมมาตลอด  พอเข้าไปที่เรือนจำสีคิ้ว  นักโทษด้วยกันก็รุมทำร้ายผมอีก  อย่าซ้อมผมอีกเลยนะครับ  ผมขอร้อง” 
 
                   ข้าพเจ้าได้บอกน.ช.ตะปอยโฮไปว่า “ตะปอยโฮ  ไม่เคยมีนักโทษประหารรายไหนถูกซ้อมก่อนยิงผมรับรองได้  ที่ตะปอยโฮโดนซ้อมมาก่อนนั้น  ตะปอยโฮต้องเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นบ้าง  ตะปอยโฮก่อคดีค่อนข้างโหดไปสักหน่อย  ถ้าตะปอยโฮไม่ทำเด็กที่ไม่รู้เรื่อง  คงไม่มีใครทำร้ายตะปอยโฮหรอก  ถ้าผมอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วย  และได้เห็นสภาพศพเด็กที่ถูกฆ่า  ผมคงไม่ปล่อยตะปอยโฮไว้เช่นกัน  ต้องเข้าใจทุกคนที่ทำกับตะปอยโฮด้วย  สำหรับวันนี้ผมกล้าเอาหัวเป็นประกัน  จะไม่มีใครมาทำร้ายตะปอยโฮได้อย่างเด็ดขาด”  ตะปอยโฮ “ครับผมเชื่อหัวหน้า  แต่หัวหน้าต้องเป็นคนพาผมไปประหารนะครับ  ไม่อย่างนั้นผมไม่ยอมเข้าหลักประหารอย่างเด็ดขาด”  ข้าพเจ้าได้ตอบตกลงทันที
 
                   เมื่อนำตัวมาถึงหมวดผู้ช่วยเหลือฯ  ได้ให้น.ช.ตะปอยโฮและน.ช.ประยุทธ  นั่งรอเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร  สักครู่ได้มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หญิง  นำน.ญ.สมัยเข้ามาภายในเรือนจำกลางบางขวาง  และเข้ามาที่หมวดผู้ช่วยเหลือฯ  น.ช.ตะปอยโฮมีสีหน้างงๆ  และถามข้าพเจ้าว่า “หัวหน้าครับวันนี้มีการประหารผู้หญิงด้วยหรือครับ”  ข้าพเจ้าตอบว่าใช่  ส่วนน.ช.ประยุทธได้หันมาพูดกับน.ช.ตะปอยโฮ “ปอยเว้ย พวกเราโชคดีที่สุดแล้วที่มีผู้หญิงไปเป็นเพื่อน”  ขณะนั้นสารวัตรโกมลเดินนำเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากรเข้ามาพอดี  และเผอิญวันนั้นได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงมาด้วย 3 นาย  ซึ่งทุกคนล้วนหน้าตาดีและยังสาวอีกด้วย  น.ช.ตะปอยโฮได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “หัวหน้าเชื่อไหม ผมเป็นคนที่โชคดีเรื่องผู้หญิงมาตลอด  ขนาดจะตายอยู่แล้วยังมีผู้หญิงมาห้อมล้อมผมเต็มไปหมด  ผมมีคาถาอยู่บทหนึ่งจะให้หัวหน้าเป็นที่ระลึก  เวลาเจอผู้หญิงที่ชอบ  ให้หัวหน้าท่องในใจ 3 จบ  เสร็จแล้วให้เป่าไปที่ผู้หญิงคนนั้น  รับรองเห็นผลทันตา  ผมเองมีเมียทั้งหมด 4 คน  คนที่ตายเป็นเมียคนที่ 3 ของผม  ไม่เชื่อหัวหน้ากลับบ้านไปวันนี้ไปหาลองเป่าดูได้เลย”  ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดต่างหูผึ่งทันที  และได้นำกระดาษมาจดคาถาที่ว่าเก็บใส่กระเป๋าไว้
 
                   หลังจากที่เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือของน.ญ.สมัยและน.ช.ประยุทธเสร็จ  จึงได้มาทำการพิมพ์ลายนิ้วมือน.ช.ตะปอยโฮเป็นรายสุดท้าย  สารวัตรโกมลได้ถามน.ช.ตะปอยโฮ “ได้ข่าวว่าเมื่อสักครู่ตะปอยโฮได้ให้คาถาจีบหญิงกับยุทธไปหรือ”  น.ช.ตะปอยโฮพยักหน้าตอบรับ  สารวัตรโกมลจึงพูดขึ้นอีก “แย่แน่เลย  วันนี้ผมพาลูกน้องสาวๆมาด้วย  เสร็จงานแล้วสงสัยยุทธคงต้องลองคาถากับลูกน้องผมแน่  ถ้ายังไงอย่าเป่าทีเดียว 3 คนนะ”  น.ช.ตะปอยโฮได้ยืนยันคาถาของตัวเอง “อย่าว่าแต่ 3 คนเลยครับ  ต่อให้มาเป็นสิบก็ไม่เหลือ”  ได้ยินดังนั้นหัวใจของข้าพเจ้าพองโตขึ้นมาทันที   
 
                   เสร็จจากการพิมพ์ลายนิ้วมือ  เวรผู้ใหญ่ได้ทำการอ่านคำสั่งจากสำนักนายกฯให้ทั้งหมดฟัง  โดยอ่านให้น.ช.ตะปอยโฮฟังเป็นรายสุดท้าย  และให้ทุกคนเซ็นทราบในคำสั่งนั้น  แล้วให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมาย  น.ช.ตะปอยโฮได้ปฏิเสธที่จะทำพินัยกรรม  แต่ได้เขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่งสั้นๆ  เสร็จแล้วพี่เลี้ยงทั้งหมดได้ช่วยกันยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้นักโทษประหารทั้ง 3 ราย  แต่ไม่มีผู้ใดแตะต้องอาหารแม้แต่น้อย  จึงได้นำทั้งหมดไปฟังเทศนาธรรมจากพระสงฆ์  ซึ่งทุกคนต่างตั้งใจฟังอย่างสงบ
 
                   หลังฟังพระเทศน์จบ  ได้ให้น.ช.ประยุทธและน.ช.ตะปอยโฮนั่งรอที่หมวดผู้ช่วยเหลือฯ  ส่วนข้าพเจ้านำน.ญ.สมัยไปทำการประหารก่อน  เสร็จแล้วได้แจ้งให้พี่เลี้ยงนำน.ชประยุทธและน.ช.ตะปอยโฮไปส่งให้ข้าพเจ้าซึ่งรอรับตัวนักโทษทั้ง 2 อยู่ที่ศาลาเย็นใจ  แต่เมื่อพี่เลี้ยงนำตัวน.ช.ตะปอยโฮมาถึงศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์  น.ช.ตะปอยโฮได้หยุดไม่ยอมเดินต่อและถามหาข้าพเจ้า  พร้อมกับบอกพี่เลี้ยงที่นำไปว่า  ถ้าข้าพเจ้าไม่เป็นผู้ไปรับตัว  จะไม่ยอมเข้าหลักประหารอย่างเด็ดขาด  ผู้อำนวยการส่วนควบคุมฯจึงสั่งให้ข้าพเจ้าย้อนกลับไปรับตัวน.ช.ตะปอยโฮ  เมื่อน.ช.ตะปอยโฮเห็นข้าพเจ้าเดินเข้าไปหา  ก็ได้โผเข้ามากอดเอวข้าพเจ้าไว้แน่นพร้อมกับต่อว่า “ไหนหัวหน้าบอกผมว่าจะเป็นผู้พาผมไป  แต่ทำไมกลับเป็นคนอื่น  ผมไว้ใจหัวหน้าคนเดียว  หัวหน้าอย่าทิ้งผมอีกนะครับ”  ข้าพเจ้าจึงเดินกอดไหล่พาเดินไปจนถึงศาลาเย็นใจ  ซึ่งน.ช.ประยุทธได้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
 
                   เมื่อเข้าไปในศาลาเย็นใจ  ได้ให้นักโทษทั้ง 2 นั่งคู่กัน  ข้าพเจ้าเป็นผู้หยิบธูปเทียนดอกไม้ส่งให้นักโทษทั้ง 2  พี่เลี้ยงอีก 2 นายเป็นผู้ผูกตาให้นักโทษ  เสร็จแล้วนำเข้าไปในห้องประหารพร้อมกันทั้ง 2 คน  โดยจับให้น.ช.ประยุทธนั่งที่หลักที่หนึ่ง  น.ช.ตะปอยโฮนั่งที่หลักที่สอง  โดยให้พี่เลี้ยงที่มาเสริม  ประคองตัวน.ช.ตะปอยโฮไว้กับหลักประหารก่อน  เมื่อข้าพเจ้ามัดตัวน.ช.ประยุทธให้ติดกับหลักและตั้งเป้าตาวัวเสร็จ  จึงได้มามัดตัวน.ช.ตะปอยโฮและตั้งเป้าตาวัวเป็นรายต่อไป  เสร็จแล้วข้าพเจ้าได้พูดกับน.ช.ตะปอยโฮ “ตะปอยโฮ  ผมขอให้ไปสู่สุคตินะ  ขอให้นึกถึงพระไว้ให้ดี  คอยท่องพุทโธไว้นะ”  น.ช.ตะปอยโฮได้พูดกับข้าพเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย “ขอให้หัวหน้าโชคดีมีเงินมากๆผมขอลาก่อน”  ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทั้งหมด  ได้ทำการขออโหสิกรรมต่อนักโทษประหารทั้ง 2 อีกครั้ง พร้อมกับแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ
 
                   พลเล็งปืนได้เข้ามาทำการบรรจุกระสุนและตั้งศูนย์ปืนทั้ง 2 กระบอก  เสร็จแล้วเพชฌฆาตมือหนึ่งและมือสองเข้ามาตรวจศูนย์ปืนอีกครั้ง  ขณะเดียวกันได้มีเสียงน.ช.ประยุทธตะโกนพูดกับน.ช.ตะปอยโฮ  แต่ไม่ทันที่จะพูดจบ  เพชฌฆาตได้แจ้งความพร้อมและหัวหน้าชุดประหารได้โบกธงลง  เสียงปืนทั้ง 2 กระบอก  ดังรัวออกมาพร้อมกันทันที “ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ”  ใช้กระสุนสำหรับน.ช.ตะปอยโฮไปทั้งสิ้น 5 นัด  ทำการประหารเมื่อเวลา 18.10 น.  โดยเพชฌฆาตมือสองเป็นผู้ทำการประหารชีวิต
 
                   เมื่อครบ 3 นาทีข้าพเจ้าและแพทย์เข้าไปตรวจดูร่างของนักโทษทั้งสอง  ปรากฏว่าน.ช.ตะปอยโฮได้สิ้นใจไปแล้ว  แต่น.ช.ประยุทธยังร้องครวญครางอยู่และแพทย์ยืนยันว่ายังไม่ตายต้องยิงซ้ำ  จึงแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ  ซึ่งเพชฌฆาตมือหนึ่งได้ทำการยิงซ้ำอีกชุดหนึ่ง  หลังจากเข้าไปตรวจเป็นครั้งที่ 2  พบว่าน.ช.ประยุทธได้สิ้นใจแล้ว  หัวหน้าชุดจึงสั่งให้นำร่างนักโทษประหารทั้ง 2 ลงจากหลัก  แล้วไปนำร่างของน.ญ.สมัยในห้องเล็ก  ออกมานอนคว่ำหน้าเรียงกันที่หน้าหลักประหาร  เพื่อความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือ
 
                   หลังการประหารเสร็จสิ้นแล้ว  ทางเรือนจำได้จัดเลี้ยงอาหารแก่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด  ข้าพเจ้าคิดที่จะฉวยโอกาสนี้ลองคาถาของน.ช.ตะปอยโฮดู  โดยเล็งเป้าหมายไปที่กลุ่มตำรวจหญิง  แต่เหมือนนกรู้มีตำรวจสาวนายหนึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า “ที่พี่มองพวกหนู  คิดจะลองคาถาแน่ๆเลย  หนูว่าอย่าดีกว่า  เราเจ้าหน้าที่ด้วยกันไว้ไปลองกับคนอื่นดีกว่า”  ข้าพเจ้าเลยจำเป็นต้องยุติ  แต่ยังตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะต้องหาคนลองคาถาให้ได้  เมื่อกลับถึงบ้านได้วางกระดาษที่จดคาถาไว้ที่โต๊ะโทรศัพท์  เช้าวันรุ่งขึ้นแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน  ปรากฏว่ากระดาษแผ่นนั้นได้หายไป  ข้าพเจ้าจึงถามภรรยา “สาเห็นกระดาษแผ่นที่วางบนโต๊ะโทรศัพท์ไหม”  เสียงภรรยาถามกลับมาว่า “แผ่นที่เขียนว่าคาถาจีบสาวใช้ไหม”  ข้าพเจ้าตอบเสียงอ่อยๆว่า “ใช่”  ภรรยาข้าพเจ้าพูดเสียงดังว่า “เผาทิ้งไปแล้วจะเก็บไว้ทำไมไอ้คาถาบ้าๆอย่างนั้น”  เฮ้อ! คาถาดีๆได้สาบสูญไปจากโลกนี้อีกบทหนึ่งแล้ว
 
                   ขออภัยต่อผู้เกี่ยวข้องและญาติของผู้เสียชีวิตทุกท่าน  ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวอ้างอิงถึง
 
                   ขอให้ดวงวิญญาณนายตะปอยโฮ  ไม่มีนามสกุล  จงไปสู่ภพที่ดีหมดสิ้นเวรกรรมทั้งหมด  
 
                   ขอชมเชยผลงานและความพยายามในการปฏิบัติหน้าที่ติดตามคนร้าย  ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ต.คลองไผ่  สภ.อ.สีคิ้ว  และนปพ.จังหวัดนครราชสีมาทุกนายมา ณ ที่นี้
 
เครดิต  http://yuthbk.blogspot.com/
 
 
     
โดย : ริมฝั่งวัง   [Feedback +19 -0] [+0 -0]   Thu 6, Sep 2012 18:17:02
 
 

ขอบคุณครับ

http://www.youtube.com/v/yXWVqXwfoEo?version=3&hl=th_TH

 

 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 1 ] Thu 6, Sep 2012 18:18:34

 

นั่นเต๊อะ...อ่านจ๊าดเมิน คาถาหายไปละ 555+

 
โดย : indy    [Feedback +24 -0] [+1 -0]   [ 2 ] Tue 11, Sep 2012 20:12:23

 

กะใดว่าจะได้เมียแล้วฮุ5555

 
โดย : เจมส์เมืองงิม    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 3 ] Tue 11, Sep 2012 21:55:56

 

นะนะ มีของดี บ่ฮุ้จักเก็บ 555

 
โดย : noui004    [Feedback +18 -0] [+0 -0]   [ 4 ] Fri 14, Sep 2012 01:00:19

 
คาถามหาเสน่ห์จีบสาวที่นักโทษประหารให้ไว้ในวันสุดท้ายของชีวิต ณแดนประหาร : พระล้านนา.คอม เว็บ พระเครื่อง พระบูชา อันดับหนึ่ง ของภาคเหนือ ออกแบบเว็บไซต์โดย 2WinWeb design บริการรับทำเว็บไซต์
Copyright Pralanna.com All right reserved. © สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดย บริษัท พระล้านนาดอทคอม จำกัด.