1.กะลาหลวงพ่อน้อยให้ดูความเก่าของเนื้อกะลาเป็นเกณฑ์ตัดสินเช่นรอยแห้งของเสี้ยนในเนื้อกะลา ความเก่าที่เป็นธรรมชาติที่ของเลียนแบบยังทำได้ไม่เนียน
2.การแกะกะลายุคเก่ายุคเก่าๆส่วนใหญ่จะเป็นพระลูกวัดที่บวชในยุคหลวงพ่อน้อยเกือบแทบทั้งสิ้นเป็นผู้แกะศิลป์ในการแกะจะเป็นมาตราฐานกันไม่กี่ท่าน ที่โดนอ้างอิงบ่อยๆเช่นตาสี,ตาคล้อย,ตาพุก,ตาสม เป็นต้นที่บวชในยุคหลวงพ่อ
3.การแกะกะลาและการลงอักขระด้านหลังส่วนใหญ่จะเป็นพระที่ได้ครอบครูกับหลวงพ่อน้อยแทบทั้งสิ้นจะเป็นคนทำ ส่วนใหญ่จะลงตามตำราที่เขากล่าวเล่าอ้างกันเช่น นะ12โม21ที่จะลงตามตำราที่ได้ครอบมาจากหลวงพ่อน้อย ร้อยละเก้าสิบจะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อลงอักขระทั้งสิ้น
4.ลูกศิษย์ที่ได้ครอบครูกับหลวงพ่อน้อยจะนำกะลาที่ได้แกะและลงจารอักขระไว้ไปให้หลวงพ่อน้อยปรุกเสกกำกับอีกทีในวันครอบครูใหญ่ หรือตอนในฤกษ์ขณะมีสุริยุปราคาและจันทรุปราคา
5.กะลาแกะราหูยุคนั้นไม่มีเลี่ยมทอง นาค หรือเงินจากวัดทั้งสิ้นการเลี่ยมจะไปให้ที่ร้านทำซะเป็นส่วนใหญ่
เอวัง... ก็เมาด้วยประการฉะนี้
พอเริ่มสร่างๆพอจำได้มาอีกหน่อยนะครับ
6.กะลาฝีมือช่างสีจะมีสีเล็กกับสืใหญ่นะครับ(คือสีคนพ่อกับสีคนลูก)คนละยุคกัน
7.กะลาแกะยุคท่านอาจารย์ปิ่นรอยจารจะมีเอกลักษณ์อยู่หนึ่งอักขระคือ
รอยจารคล้ายๆรูปใบพัดสามแฉกอยู่ด้านล่างของรอยจารด้านหลังเสมอ
8.กะลาแกะราหูยุคเก่าๆส่วนใหญ่จะใช้ปลายมีดจักตอกแกะลายละเอียดของกะลา
ขอบของชิ้นงานจะเป็นรอยถากหรือเกลาจากมีดซะเป็นส่วนใหญ่ส่วนรูที่ร้อยห่วงจะใช้ปลายมีดคว้านหมุนเอาทั้งสองด้านหรือบางทีเคยเจอแบบที่ใช้โลหะลนไฟแล้วไชเอาแต่ส่วนใหญ่จะใช้ปลายมีดคว้านเอานะครับ
บทความของคุณยาหอม ที่เขียนไว้ได้น่าศึกษามากครับ