พระล้านนาดอทคอม แหล่งรวมพระเครื่องเมืองเหนือ
โชว์พระเกจิอาจารย์ล้านนา

ครูบาคำแสน [ทิม] อินทจักโก


ครูบาคำแสน [ทิม] อินทจักโก


ครูบาคำแสน [ทิม] อินทจักโก

   
 

พระครูสุคันธศีล (ครูบาคำแสน [ทิม] อินทจักโก)
วัดสวนดอก จ.เชียงใหม่

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

หลวงปู่คำแสน กำเนิดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2431 ตรงกับเดือน 3 เหนือ แรม 9 ค่ำ เวลา 06.00 น. ปีชวด ณ บ้านป่าพร้าวใน ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ บิดาชื่อท้าวภูมินทร์พิทักษ์ มารดาชื่อคำป้อ รังสี มีนามเดิมว่า ทิม เมื่อครั้งเยาว์วัย หลวงปู่เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อารมณ์แจ่มใส รู้จักคุณบิดามารดา ช่วยบิดามารดาทำนา

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

เมื่ออายุ 10 ขวบได้เข้าวัด พออายุ 12 ปี จึงได้ขอบวชเป็นสามเณร ได้ตั้งใจเล่าเรียนค้นคว้าพระธรรมวินัย และวิปัสสนากรรมฐานกับครูบาอริยะ วัดคับภัย จนถึงอายุครบบวช 20 ปีบริบูรณ์ ได้รับฉายาว่า "อินฺทจกฺโก" แปลว่าผู้มีพลังดุจจักรพระอินทร์ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นอยู่ในสัมมาปฏิบัติ เมื่อบวชได้ 1 พรรษา ได้มีผู้นิมนต์ไปรักษาการเจ้าอาวาสวัดอื่นๆ เกือบ 10 ปี หลวงปู่ได้ออกจาริกอบรมเผยแพร่ไปในท้องที่ต่าง ๆ เช่น อำเภอสะเมิง และตามป่าดอยของภาคเหนือ ต่อมาภายหลังท่านหลวงปู่คำแสน หรืออีกนามหนึ่งคือ "พระครูสุคันธศีล" ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนดอก ซึ่งเป็นวัดหลวงของจังหวัด เชียงใหม่ ท่านได้ทำนุบำรุง และอนุรักษ์วัดสวนดอกเป็นเวลา 30 ปี ท่านเป็นปูชนียบุคคลที่ควรยกย่อง ท่านได้อุทิศชีวิตบำรุงพระพุทธศาสนา มั่นคงดำรงตนในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ประพฤติธรรมสมถะ มีดวงจิตเหนืออิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ จนได้รับสมญานามว่า "รอยยิ้มแห่งพระอรหันต์"

หลวงปู่คำแสนได้มรณภาพด้วยความสงบ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2519 เวลา 24.00 น. รวมอายุได้ 88 ปี 3 เดือน "รูป ร่างกายจะย่อยยับดับไป แต่ชื่อความดีโคตรหาดับไปไม่ฯ"

ธรรมโอวาท
“ศีลบริสุทธิ์ ถือสัจจะบริสุทธิ์ ถือหลักพรหมวิหารธรรม ๔ ประการอันบริสุทธิ์ เพื่อเสริมสร้างบารมีธรรม สัจจะบารมีนี้สำคัญ ถ้ามีสัจจะแล้วทำอะไร ปฏิบัติอะไร ก็จะได้ผลเสมอ แม้เรากำลังน้อยทำไม่ไหว ก็ยังมีสิ่งที่มองไม่เห็นตัวท่านช่วยประคองให้จนได้พบกับความสำเร็จนะ เออ… เออ… สร้างให้ดีสร้างให้จบมันก็จะสิ้นทุกข์ ไม่ยากไม่ลำบากอีกต่อไปทำดีไปเถิดดีเองแหละ

ศีลเป็นรากแก้วของชีวิต จะทำดีมีชื่อเสียงได้ก็ด้วยศีลธรรมนี้เอง ใครมีศีลผู้นั้นเป็นเทวดา ผู้ใดรักษาศีลได้มั่นคงผู้นั้นมีสติสัมปชัญญะแล้วเพราะศีลนี้ทำให้กาย วาจา ใจ ของมนุษย์สูงขึ้น ถ้ายังมุ่งหวังอยากได้สมาธิ ก็ต้องมีศีล อยากได้ปัญญาก็รักษาศีลเสียก่อน ได้ศีลแล้วธรรมะจะเกิดขึ้นในตัวเราเอง

ธรรมะอยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ที่ใจ อยู่ที่ตัวเรานี่ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว มีเป็นธรรมดา จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ของใครของมันนะ

ธรรมอยู่ในกายเรานี้แล้วทุกอย่าง สติปัญญา เอามาเป็นเครื่องวัด วัดมันไปทุก ๆ วัน เราจะได้รู้ว่าอะไรตกต่ำบ้าง เมื่อตกต่ำเราก็รีบสร้างให้ปกติอย่าพร่อง บุญกุศลเป็นของดีบริสุทธิ์ จำไว้นะ”

ภาพพระธาตุ/อัฐิ

 
แหล่งข้อมูล : คัดลอกและแก้ไขจาก www.rabeangmai.com และ
ป่องโกษา. ม.ป.ป. ล่าพระอาจารย์และท่องเชียงแสน โดยฤาษีลิงดำ. เยลโล่การพิมพ์, กรุงเทพฯ
ธรรมะหลวงปู่จาก: http://b.domaindlx.com/timeforteen/news/view.asp?id=27
 
     
โดย : พระช้างเผือก   [Feedback +37 -0] [+0 -0]   Wed 3, Feb 2010 11:30:48
 








 

เหรียญรุ่นแรกค๊าฟ ปี พ.ศ.๒๕๑๙ 

 
โดย : พระช้างเผือก    [Feedback +37 -0] [+0 -0]   [ 1 ] Wed 3, Feb 2010 11:33:42









 

เหรียญรุ่นแรกค๊าฟ ปี พ.ศ.๒๕๑๙ 

เลี่ยมกันน้ำ แบบเดิมๆ จากวัดเรยค๊าฟ

 
โดย : พระช้างเผือก    [Feedback +37 -0] [+0 -0]   [ 2 ] Wed 3, Feb 2010 11:34:39









 
 
โดย : พระช้างเผือก    [Feedback +37 -0] [+0 -0]   [ 3 ] Wed 3, Feb 2010 11:35:04









 

ผงรุ่นแรกละค๊าฟ ปี พ.ศ.๒๕๑๙   ใครเคยเจอบ้างค๊าฟ   เจอที่ไหนเก็บไวไวเรยนะค๊าฟฟฟ

 

อ้อ!!! รุ่นพิเศษ มี กริ่งนะค๊าฟ

 
โดย : พระช้างเผือก    [Feedback +37 -0] [+0 -0]   [ 4 ] Wed 3, Feb 2010 11:36:54

 

ยอดเยี่ยมทั้งพระทั้งข้อมูลครับ อ.แม็ค พระช้างเผือก

 
โดย : คนดวงดี    [Feedback +13 -0] [+0 -0]   [ 5 ] Wed 3, Feb 2010 12:32:03

 
สุดยอดครับ พี่น้อง..........น้ำลายใหย
 
โดย : คนข้างวัด/-    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 6 ] Wed 3, Feb 2010 13:47:25

 

ครูบาคำแสน ในเมืองล้านนา  มีอยู่ ๒ คำแสน

 

น้ำตาหลั่งที่ศรีดอนไชย

อันพระ”คุณาลังกาโรมหาเถระ”หรือที่เรียกหากันรู้จักทั่วไปเป็นอย่างดีอีกนามหนึ่งในชื่อ”ครูบาคำแสนน้อย”  แห่งวัดดอนมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่  นั้น โดยแท้แล้ว ท่านเป็นพระอริยสงฆ์อาวุโส
ฝ่ายมหานิกายของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต  พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานแห่งยุค อีกทั้งยังเป็นสหธรรมิกรุ่นราวคราวเดียวที่สนิทกับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ  วัดดอยแม่ปั๋ง จ. เชียงใหม่ เป็นอย่างยิ่ง อีก
สถานหนึ่งด้วยแต่โดยแท้จริงแล้ว  ท่านพระครูบาคำแสน วัดดอนมูลนี้  จะมีคำว่า”น้อย”ติดห้อยชื่อมาแต่เดิมนั้น หามิได้แต่เป็นด้วยเหตุที่เมืองเชียงใหม่ยุคนั้น  มีพระเถระสุปฏิปันโนชั้นผู้ใหญ่ ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบชื่อ”คำแสน”อยู่ 2 องค์ คือ
1. พระครูสุคันธศีล (คำแสน  อินทจักโก) วัดสวนดอก อ. เมือง จ.เชียงใหม่
2. ครูบาคำแสน  คุณาลังกาโร วัดดอนมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
แต่ด้วยเหตุที่ท่านคำแสน ในเวียงนั้น ท่านมีอาวุโสพรรษาสูงกว่า  บรรดาชาวบ้านจึงเรียกขานท่านว่า “ครูบาคำแสนใหญ่”  และในขณะเดียวกัน ก็เรียกขานครูบาคำแสน สันกำแพงว่า “ครูบาคำแสนน้อย”ไปโดยปริยายด้วยประการฉะนี้

        และเมื่อครั้งที่ครูบาคำแสน คุณาลังกาโร ยังเป็นพรพะภิกษุนวกะ อายุ 20 เศษ  โดยเพิ่งจะบวชในบวรพระพุทธศาสนาได้ไม่นาน   ท่านก็ได้ยินข่าวว่า ทางการได้จับตัวพระครูบาศรีวิไชยมากักขังไว้ที่วัดศรีดอนไชย  
ซึ่งแต่เดิมนั้น ครูบาคำแสน เคยได้ยินกิตติศัพท์และมีความศรัทธาเลื่อมใสในบารมีธรรมแห่งท่านพระครูบาเจ้าฯมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  ต่อเมื่อได้ทราบข่าวร้ายดังกล่าว ก็ให้รู้สึกเสียใจและทนอยู่เฉยๆไม่ได้  พร้อมกับอยาก
จะไปกราบนมัสการแสดงความเห็นใจ เมื่อคิดได้ดังนั้น ครูบาคำแสนก็ได้ชักชวนพระสงฆ์และชาวบ้านจำนวนมากให้พากันไปเยี่ยมครูบาศรีวิไชยยาชนะ เจ้าตนบุญที่กำลังถูก”มารผจญ”อยู่ด้วยกัน  แต่ปรากฏว่าคนจำนวนมากกลัวจะได้รับราชภัย  มนุษยภัย หากไปเยี่ยมพระครูบาเจ้าฯ  จึงพากันหลีกหนีปฏิเสธไป
มากกว่ามาก  ที่สุด ครูบาคำแสนจึงจำต้องเดินทางบุกป่าฝ่าดงมาเองกับเณรและลูกศิษย์เพียง 2-3 คนเท่า นั้น จากปากคำของครูบาคำแสน ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ท่านครูบาออกเดินเท้าจากวัดตั้งแต่เช้าด้วยระยะทาง15-16 กิโลเมตร กว่าจะถึงวัดศรีดอนไชย  ก็ได้เวลาเพลแล้ว  โดยเมื่อไปถึง ก็เห็นตำรวจยืนเฝ้าอยู่ จึงขออนุญาตเข้าไปกราบไหว้สาครูบาเจ้าศรีวิไชยในทันทีอย่างไม่รีรอ สภาพที่ท่านครูบาคำแสนได้ประจักษ์ จนแทนไม่น่าเชื่อแก่สายตาของท่านนั้นก็คือ ทางคณะสงฆ์และทางราชการได้ใช้”เชือกมนิลา”เส้นโต ผูกเสาภายใน”ศาลาบาตร”ไว้เป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือน”คอกหมู”  ก็ไม่ปาน และภายในคอกสี่เหลี่ยมนั้น ก็มีพระสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่ง ห่มผ้าสีกลัก ในคอสวนประคำเส้นใหญ่ กำลังนั่งภาวนาอยู่ในอาการสงบ   ครูบาคำแสนจึงได้แจ้งแก่ใจโดยมิต้องพักให้ใครตักเตือนว่า นี้แลคือ ”พระครูบาเจ้าศรีวิ
ไชย” ยอดนักบุญแห่งล้านนาไทยแน่นอนแล้ว ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสอย่างลึกซึ้ง  ครูบาคำแสนจึงคลานเข้าไปกราบครูบาเจ้าศรีวิไชย ซึ่งกำลังนั่งภาวนาอยู่เบื้องหน้าในบัดนั้น   และในขณะเดียวกันที่ครูบาคำแสนกำลังกราบลงนั่นเอง   ครูบาคำแสนก็รู้สึกสะเทือนใจจนมิอาจจะอดกลั้นไว้ไหวได้  ท่านจึงได้เปล่งเสียงปริเวทนาการร่ำไห้ออกมาดังโฮใหญ่  ด้วยแสนสงสารในองค์พระครูบาเจ้าศรีวิไชยที่ต้องมาถูกจองจำ และจะต้องถูกจับสึกที่กรุงเทพมหานครในอีกไม่ช้านาน นับแต่นี้ไปเมื่อหน้าอย่างยากที่จะคิดให้เป็นอื่นได้ ”ฮือๆๆๆๆๆ..........................................................”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของครูบาคำแสนในตอนนั้น ชะรอยว่าคงจะไปกระทบกับจิตในองค์สมาธิของท่านครูบาเจ้าศรีวิไชยเข้าโดยตรง  ครูบาเจ้าศรีวิไชยจึงถอยจิตออกจากองค์ภาวนามา  พร้อมกับเอื้อมมือมาตบที่ไหล่ของครู
บาคำแสนน้อยก่อนที่จะ”ดุ”ด้วยความเมตตาอย่างยิ่งใหญ่ลึกซึ้งมากๆว่า”ท่าน...ท่านเป็นพระจะร้องไห้ไม่ได้นะ...............”

เมื่อรู้สึกตัว  ครูบาคำแสนก็ได้แต่เงยขึ้นมามองครูบาเจ้าฯ ทั้งๆน้ำตายังอาบหน้าอยู่นั้น  ครูบาเจ้าศรีวิไชยก็ได้สั่งสอนต่อไปอีกด้วยว่า”พระนั้น ต้องเป็นผู้ตัดแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง  จะต้องระงับอารมณ์มิให้มีการร้องไห้อย่างเด็ดขาด    การที่จะมานั่งร้องไห้เยี่ยงนี้ หาควรไม่เลยนะ ตุ๊เหย.....”

จากถ้อยคำอันมั่นคงดั่งหินผาของท่านพระครูบาเจ้าฯดังกล่าว ก็เหมือนหนึ่งน้ำทิพย์หยาดลงมาชโลมใจให้คลายจากความโศก  ครูบาคำแสน ซึ่งในตอนนั้นยังเป็น”ตุ๊เจ้า”หนุ่มน้อยอยู่ จึงได้พยายามสะกดกลั้นปริเวทนาการทั้ง
ปวงให้ระงับดับไป พร้อมนั้น”ตุ๊เจ้าต๋นบุญ”ครูบาเจ้าศรีวิไชยก็เลย”จับ”ครูบาคำแสนน้อยหัด”นั่งกรรมฐาน”ในบัดเดี๋ยวนั้นเสียเลยทีเดียวว่า”ให้ตุ๊นั่งขัดสมาธิ แล้วเอามือประสานกันวางไว้ที่ตัก หลับตาพร้อมกับท่องคำ “พุทโธๆๆ”ไปเรื่อยๆ   จะหลายสิบหลายร้อยจบอย่างไร ก็ให้นึกภาวนาไปก่อนเต๊อะ............”                 
  เมื่อครูบาคำแสนได้ฟัง ก็รีบปฏิบัติตามพระกรรมฐานที่ครูบาเจ้าศรีวิไชยได้ขึ้นให้ในโอกาสและสถานที่ที่”ไม่เหมือนใคร”และ”ไม่มีใครเหมือน”อันหาได้ยากยิ่งนี้ด้วยความเคารพในทันที                                                      
พุทโธ...
พุทโธ.....
พุทโธ......
พุทโธ.......
พุทโธ........
พุทโธ.............
ฯลฯ.......................
และภายหลังจากที่ได้”นึกพุทโธ”ไปไม่รู้ว่านานเท่าไร  จิตใจของครูบาคำแสนก็สงบจากนิวรณ์เครื่องเศร้าหมองทั้งปวง  อาการสะอื้นไห้และน้ำตาได้หายไปจนหมดสิ้น  คงมีแต่ความสันติและเป็นสุขอันเป็นอุเบกขาอย่างน่า
ประหลาด แตกต่างจากเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิงราวฟ้ากับดิน
จนเห็นว่า “พระน้อย”จิตใจสงบเย็นลงพอสมควรแล้ว   ครูบาเจ้าศรีวิไชยจึงสั่งให้ครูบาคำแสนลืมตาขึ้น แล้วสอบถามว่า ”ท่านมาจากที่แห่งใดหรือ ตุ๊น้องเหย??” ครูบาคำแสนได้แต่กราบลงแทบเท้าพระครูบาเจ้าฯก่อนกราบเรียนไปว่า
”ข้าเจ้ามาจากวัดดอนมูล  สันกำแพงขอรับ  ครูบา....” เมื่อได้ทราบที่มาพอควรแล้ว ครูบาเจ้าศรีวิไชยก็ได้เมตตาเทศน์อบรมเรื่อง”ขันติ”(ความอดกลั้นทนทาน)ให้ครูบาคำแสนฟัง  พร้อมกับแนะนำสั่งสอนให้ศึกษาวิปัสสนาธุระ  โดยเริ่มต้นปฏิบัติดังที่ได้ทำมาแล้วเมื่อสักครู่  เสร็จแล้วครูบาเจ้าฯก็สั่งว่า”เอาเต๊อะ...เท่านี้ก็พอสมควรแล้วนะ....ท่านกลับได้แล้วละเน้อ”นี้คือความทารุณโหดร้ายอันปราศจากความเมตตาและสามัญสำนึกของ”ทางการ”และ”คณะสงฆ์”(บางกลุ่ม)ที่มีโมหะจริตปิดบังตาและความยุติธรรม ที่ได้มีต่อพระครูบาเจ้าศรีวิไชยอย่างยากที่ใครที่ไม่เห็นกับตา ยากจะเชื่อถือได้ และหากว่านี่  มิได้เป็นคำบอกเล่าจากประสพการณ์โดยตรงของ”พระอริยสงฆ์เจ้า”องค์สำคัญแห่งภาคเหนือและสายกรรมฐานอย่างหลวงปู่ครูบาคำแสน คุณาลังกาโร  วัดดอนมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่อย่างแท้แล้ว  หลายๆคนอาจจะคิดได้ว่า นี่ย่อมเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อ”ให้ร้าย”กันจนเกินจริงเป็นแน่ หรือว่า  ข้อมูลจากวงในที่เคยได้ยินมาว่า  สิ่งที่”ทางการ”และ”คณะสงฆ์”ลำพูนเชียงใหม่ในเวลานั้นต้องการมากที่สุดนั้น หาใช่เป็นเพียงแค่”หาความ”ให้เดือดร้อนเล่นเปล่าๆแต่อย่างใด  แต่ร้ายแรงถึงขั้นให้พระครูบาเจ้าศรีวิไชยถูกทางกรุงเทพ”จับสึก”และ”ประหารชีวิต”ในฐาน”กบถ”และ”ผีบุญ”จะเป็น”ความจริง”จริงๆแล้ว   เมื่อพิจารณาจาก”ทารุณกรรม”ทั้งปวงที่”ผู้มีอำนาจ”ต่างได้พาบีบคั้นแก่พระครูบาเจ้าฯอย่างหนักหนาดุจดังที่ครูบาคำแสนได้เล่ามานี้??? ถ้าเรื่องดังกล่าวเป็น”เรื่องจริง”แท้แล้วไซร้  ก็นับเป็น”กรรม”ของพระศาสนานี้แล้วโดยแท้......... หรือมิใช่..?????
 
โดย : พระช้างเผือก    [Feedback +37 -0] [+0 -0]   [ 7 ] Wed 3, Feb 2010 13:55:52

 

ยอดมากครับ

 
โดย : หนุ่ยกรมทาง    [Feedback +32 -0] [+0 -0]   [ 8 ] Wed 3, Feb 2010 16:39:41

 

สวยนะครับเสี่ยแม็ก.....

 
โดย : พรหมาจักรโก    [Feedback +26 -0] [+0 -0]   [ 9 ] Wed 3, Feb 2010 19:06:07

 
เคยเห็น...แต่ไม่ได้เก็บ 
 
โดย : chainoi    [Feedback +4 -0] [+0 -0]   [ 10 ] Wed 3, Feb 2010 19:22:58

 

ด้วยความนับถือนะครับ อ.แม็ก เหรียญที่โชว์ไม่ใช่รุ่นแรกครับ รุ่นนี้ต้องถือว่าเป็นรุ่นที่สาม รุ่นแรกจริงๆออกเมื่อปี2517 ส่วนพระผงรุ่นแรกจริงๆแล้วออกเมื่อปี 249- กว่าครับ พระผงรุ่นพิเศษที่มีกริ่งคณะศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำแห่งวัดท่าซุง สร้างถวายครับ วันหลังจะถ่ายรูปมาลงให้ชมนะครับ

      ไก่ สวนดอก 084-1746518

 
โดย : พรมารดา    [Feedback +72 -1] [+0 -0]   [ 11 ] Wed 3, Feb 2010 20:53:50

 

จ๊ากๆๆๆ   ผิดพลาดอย่างแรง  ขออภัยในข้อมูลอย่างยิ่งเรยค๊าฟ   ท่านผู้ชม

ขอกราบขอบพระคุณที่ เสี่ยไก่ สวนดอก มาช่วยเสริม ไม่ให้ข้อมูลผิดพลาด  ขอขอบพระคุณจากใจจริง ขอรับ....ด้วยจิตคารวะ

ขอบพระคุณเสี่ยเอ๋ ดวงดี , คนข้างวัด ,ป๋าหนุ่ย, เสี่ยตุ้ม, chainoi ที่มาเยี่ยมชมค๊าฟ

 
โดย : พระช้างเผือก    [Feedback +37 -0] [+0 -0]   [ 12 ] Thu 4, Feb 2010 10:50:12

 
ครูบาคำแสน [ทิม] อินทจักโก : พระล้านนา.คอม เว็บ พระเครื่อง พระบูชา อันดับหนึ่ง ของภาคเหนือ ออกแบบเว็บไซต์โดย 2WinWeb design บริการรับทำเว็บไซต์
Copyright Pralanna.com All right reserved. © สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดย บริษัท พระล้านนาดอทคอม จำกัด.