ยอดมาก...นายเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
ชื่อบ้านถิ่นพะเยา ชื่อนั้นสำคัญฉะนี้
ในยุคพระยางำเมือง เรืองอำนาจในอาณาจักรภูกามยาว โดยมีอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกันอีกสองอาณาจักรคือ อาณาจักรล้านนา มีพญาเม็งรายเป็นผู้ครองนคร และอาณาจักรสุโขทัย มีพระยาร่วง(รามคำแหง)เป็นเจ้าเหนือชีวิต ทั้งสามเป็นพระสหายกัน เมื่อครั้งยังเป็นพระราชกุมารศึกษาเล่าเรียนศิลปะฝึกฝนวิทยายุทธ์ ณ สำนักสุกทันตฤษี เมืองละโว้ ความสัมพันธ์ของทั้งสามกษัตริย์ก็ยังคงสนิทเหนียวแน่นอยู่เหมือนเดิม ทั้งสามพระสหายจึงนัดหมายกันกระทำสัจจปฎิญาณ ร่วมสาบานเป็นมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน ณ ริมฝั่งแม่น้ำสายตา ในเขตอาณาจักรภูกามยาว โดยทรงกระทำพิธีกรรมสัตยาบันต่อกัน ทุกพระองค์กรีดข้อพระหัตถ์ให้เลือดหยดลงในภาชนะแล้วนำมาผสมกับน้ำดื่ม ในขณะที่ทุกพระองค์นั่งเอาหลังพิงกัน ในภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “อิง” ตั้งแต่นั้นมาแม่น้ำสายตาสายนี้ ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “แม่น้ำอิง” มาจนถึงวันนี้
ความสัมพันธ์ของกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ ดำเนินไปด้วยความราบรื่นเรื่อยมา ตราบจนกระทั่งวันหนึ่งเรื่องความแตกร้าวระหว่างพระสหายก็ปรากฏ มีเรื่องเล่าว่า ในทุกๆ ปี พระยาร่วงเจ้าจะเสด็จมาสักการะแม่น้ำโขง หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “แม่น้ำของ” โดยใช้เส้นทางเดินผ่านมาทางแม่น้ำยม เขตอำเภอสอง จังหวัดแพร่ และเขตอำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา แล้วจึงแยกซ้ายผ่านปางเตย ปางงุ้น ผ่านตำบลหนองหล่ม เขตอำเภอดอกคำใต้ จังพะเยามาโดยลำดับ และที่ปรากฏร่องรอยชัดเจนจนเป็นตำนานคือเขตอำเภอดอกคำใต้นี้เอง ทางที่ใช้สัญจรผ่านไปมานานวันเข้าดินยุบลงเป็นร่องน้ำ คนทั้งหลายจึงขนานนามว่า น้ำแม่ร่องช้าง ในปัจจุบัน
ณ เมืองพะเยาพระยางำเมือง ทรงมีมเหสีผู้มีสิริโฉมอันงดงาม ใครเห็นใครก็หลงรัก เพราะพระนางมิใช่เพียงงดงามแต่เพียงใบหน้าหรือกิริยาที่แสดงออกเท่านั้น ยังงดงามไปถึงจิตใจข้างในด้วย พระองค์มีพระนามว่า พระนางอั้วเชียง บางตำนานเรียกพระนางว่าอั้วเชียงแสน และอั้วสิม นั่นก็หมายถึงพระนางองค์เดียวกัน พระยาร่วงเมื่อแรกพบพักตร์ก็ทรงหลงรักสิเน่หาพระนางเสียแล้ว จนกินไม่ได้นอนไม่หลับกระวนกระวายอยู่หลายคืน เมื่อพระองค์ทนความรบเร้าแห่งจิตคิดถึงพระนางไม่ไหว จึงร่ายมนต์แปลงกายเป็นพระยางำเมือง เสด็จเข้าไปหาพระมเหสี เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงกระทำกามคุณเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระยาร่วงก็รีบเสด็จออกจากห้องบรรทมของพระนางทันที
ลำดับต่อมาพระยางำเมืองเสด็จเข้าไปหาพระนางอั้วเชียงตามปกติ พระนางจึงฉงนพระทัย แล้วทูลถามพระยางำเมืองว่า เอ...วันนี้เสด็จพี่มาแปลก เสด็จเข้ามาในห้องน้องถึงสองเวลา เป็นเพราะเหตุอะไรหนอ??? ครั้นพระยางำเมืองใคร่ครวญดูก็ทรงทราบได้ทันทีว่าต้องมีคนปลอมตัวเข้าหาพระมเหสีเป็นแน่ คนที่มีวิชากระทำการอุกอาจเช่นนี้ได้ต้องเป็นพระสหาย ด้วยความโกรธและแค้นใจที่พระสหายทำกันได้ถึงเพียงนี้ จึงสั่งให้ทหารล้อมจับพระยาร่วงเป็นการใหญ่ พระยาร่วงเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจ จึงจำแลงกายร่ายเวทย์มนต์เป็นนกเอี้ยงบินหนีไป พระยางำเมืองเห็นเป็นเช่นนั้นก็ไล่ตามไปจนทัน นกเอี้ยงบินไปก็เหนื่อยอ่อนตกลงไปที่หนองน้ำแห่งหนึ่งชาวบ้านจึงถือเอานิมิตนั้นเรียกว่า “หนองเอี้ยง”
เมื่อจวนตัวพระยาร่วงก็ร่ายมนต์แปลงกายเป็นวัว มีสีแดงดังสีเลือดวิ่งหนีไปอีก พระยางำเมืองก็ไล่กวดไปจนทัน วัวแดงตัวนั้นตกใจโดดลงไปติดหล่มอยู่บริเวณหนองน้ำแห่งหนึ่ง ชาวบ้านจึงให้ชื่อว่า “หนองวัวแดง” เมื่อจวนตัวพระยาร่วงก็แปลงกายเป็นสัตว์ตัวเล็กที่สุด คือ ไฮ(ไร) ไต่ไปตามบ้านเรือนผู้คน โดยหวังว่าวิธีนี้พระยางำเมืองจะมองไม่เห็น พระยางำเมืองก็เห็นและเข้าไปจับอีก เมื่อจวนตัวพระยาร่วงก็แปลงกายเป็นตุ่นวิ่งหนีไปขุดรูไป พระยางำเมืองไล่ไปขุดหาตุ่นไปด้วย และไปทันที่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านจึงขนานนามว่า “บ้านตุ่น” รูที่ตุ่นขุดไป ชาวบ้านจึงเรียกว่า “ห้วยแม่ตุ่น” พระยาร่วงเห็นจวนตัวก็จำแลงกายเป็นเสือโคร่งลายพาดกอนตัวใหญ่มีกำลังมากกระโจนหนีไป พระยางำเมืองก็ไล่ไปทันที่ตำบลแห่งหนึ่ง ชาวบ้านนิยมเรียกเสือเป็นภาษาท้องถิ่นว่า “สาง” จึงให้ชื่อบ้านนั้นว่า “บ้านสาง” มาจนทุกวันนี้ เมื่อจวนตัวเสือโคร่งก็กระโจนหนีลงไปพลาดท่าตกลงน้ำในกว๊านพะเยาจนเสียงดัง “ต๋อม” น้ำกระเด็นไปทั่วบริเวณ บ้านที่เสือโดดลงไปตกน้ำกว๊าน จึงชื่อว่า “บ้านต๋อม” มาจนถึงทุกวันนี้และในที่สุด เสือพระยาร่วงก็ไปติดกับขะตั้ม(คือเครื่องมือดักสัตว์ชนิดหนึ่ง) บริเวณบ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านจึงเรียก
”บ้านต๊ำ” มาจนถึงทุกวันนี้ พระยางำเมืองก็ไปจับตัวได้ ณ บ้านแห่งนั้นนั่นเอง แล้วนำไปจองจำไว้โดยให้คนส่งข้าวน้ำให้เสวย วันหนึ่งคนนำพระกระยาหารละเลยต่อหน้าที่ไม่มีอะไรมาถวาย จึงแกล้งนำไม้ตาหีบปิ้งปลาถวาย พระยาร่วงทรงน้อยพระทัยว่าตัวเราเป็นถึงเจ้าชีวิตจะมาตายเพราะอดข้าวอดน้ำในที่นี้แล้วกระมัง ว่าแล้วจึงจับไม้ตาหีบขึ้นมาพนมมือตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ถ้าข้ายังมีบุญญาธิการ ชีวิตจะอยู่รอดต่อไปอีก ก็ขอให้ไม้นี้จงออกรากเป็นต้นไม้ด้วยเถิด แล้วจึงปักลงบนแผ่นดิน ไม้ปิ้งปลานั้นก็เกิดปาฎิหาริย์เกิดมีรากงอกขึ้นมา ชาวบ้านเห็นเป็นอัศจรรย์จึงเรียกไม้นั้นว่า “ไม้ตาหีบพระร่วง” มาจนทุกวันนี้
การจับตัวพระร่วงได้ในเวลานั้นเป็นข่าวใหญ่โตมีเสียงเล่าลือกันไปทั่วอาณาจักน้อยใหญ่ จนรู้ไปถึงหูของพระยาเม็งรายเจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านนา เมื่อพระยาเม็งรายพระสหายเสด็จมาเพื่อยุติข้อขัดแย้ง จึงให้พระยางำเมืองและพระยาร่วงมานั่งร่วมกัน เพื่อเคลียร์ปัญหาทางใจที่มีต่อกัน ณ บ้านแห่งหนึ่ง บ้านนั้นจึงมีชื่อว่า “บ้านเกณฑ์” และสั่งให้ทหารตั้งศาล หรือกว้านขึ้นมา ณ บ้านแห่งหนึ่ง บ้านนั้นจึงเรียกว่า “บ้านกว้าน” เมื่อประชาชนรู้ข่าวกันมากขึ้นจึงพากันมาฟังคดีความ โดยการป้อ หรือกระจุกกันอยู่ ณ บ้านแห่งหนึ่ง บ้านนั้นจึงชื่อว่า “บ้านป้อ” มาจนถึงทุกวันนี้ พระยาเม็งรายได้ไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งของสองพระยา โดยให้ยึดหลักความสามัคคีและมิตรไมตรีต่อกัน กระทั่งเอาเรื่องราวในอดีตครั้งเยาว์วัยที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขได้กินนอนเป็นมิตรสหาย เพราะคำว่ามิตรภาพนั้นมิอาจหาได้โดยง่าย การผิดใจกันสองคนก็หมายถึงคนสองอาณาจักรจะต้องต่อสู้ล้มตายกันอีกมากมาย ผลเสียย่อมเกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาลแน่นอน พระยาทั้งสองก็ยอมความแก่กันละกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วพระยาเม็งรายจึงตัดสินคดีความให้พระยาร่วงเสียค่าสินไหมแก่พระยางำเมืองเป็นทองคำแท่งสูงเท่าตัวพระยางำเมืองและให้คืนดีเป็นมิตรไมตรีต่อกันดังเดิม พระยาร่วงจึงได้ยินยอมแต่โดยดี ทั้งสามสหายก็พากันไป ณ แม่น้ำอิง แล้วนั่งเอาหลังพิงกันสาบานเป็นเพื่อนร่วมกันตลอดไป (พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมวิมลโมลี ปราชญ์ด้านประวัติศาสตร์เมืองพะเยา ได้ให้ข้อคิดไว้ในหนังสือความเป็นมาในอดีตของเมืองพะเยา และประวัติพระยายุทธิศเสถียร เมืองสองแควว่า พระยาทั้งสามได้ประทับนั่งเอาพระปฤษฎางค์(หลัง)พิงกันดื่มเลือดสาบานกันริมแม่น้ำสายตาหรือแม่น้ำอิง ณ บริเวณวัดร่องขุย) เมื่อเสร็จพิธีปฏิญาณแล้ว ชาวบ้านชาวเมืองต่างก็ดีใจไม่ต้องเกิดศึกสงครามกันระหว่างอาณาจักรภูกามยาวและสุโขทัย ก็แห่พระยาทั้งสามขึ้นจากท่าน้ำ ท่าน้ำนั้นจึงเรียกว่า “ท่าแห่” พระยาร่วงและพระยาเม็งรายก็แยกย้ายกันกลับเมืองโดยสวัสดี
ตำนานเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา มีทั้งข้อเท็จจริงและเรื่องเล่าผสมกันมา เพื่อให้ความกระจ่างแจ้งและมีความมันในการเล่ามากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้เราได้ข้อคิดว่าการเล่าเพื่อผูกพันเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อให้ชื่อบ้านนามเมืองต่างๆ คล้องจองกัน คงจะต้องมีผู้รู้ศึกษากันอย่างจริงจังเพื่อหาประเด็นมาวิเคราะห์กันสืบต่อไป
|