สำหรับในประเทศไทยนั้นก็ได้พบหลักฐานการสร้างพระพิมพ์เป็นจำนวนมาก ในหนังสือ “ตำนานพระพิมพ์” ของ ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ และอาจถือเป็นตำราเกี่ยวกับพระพิมพ์เล่มแรกของไทย ได้จัดแบ่งพระพิมพ์ที่พบออกเป็น ๖ หมวดด้วยกัน คือ
หมวดที่ ๑ แบบพระปฐม เนื่องจากได้พบพระพิมพ์หมวดนี้มากบริเวณจังหวัดนครปฐม พระพิมพ์พระปฐมมักทำเป็นรูปการแสดงมหาปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี มีการจารึกคาถา เย ธม มา เป็นภาษาบาลีด้วยตัวอักษรคฤนถ์หรือตัวอักษรขอมโบราณ จัดเป็นพระพิมพ์แบบที่เก่าที่สุดที่พบในประเทศไทย
หมวดที่ ๒ แบบถ้ำแหลมมลายู พระพิมพ์หมวดนี้ส่วนมากจะทำด้วยดินดิบ เป็นพระพุทธรูปหรือรูปพระโพธิสัตว์ฝ่ายมหายาน คาถา เย ธม มา ที่จารึกเป็นภาษาสันสกฤตตัวอักษรนาครีที่ใช้อยู่ในอินเดียฝ่ายเหนือ
หมวดที่ ๓ แบบขอม ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ จัดไว้อยู่ในสมัยเดียวกับแบบถ้ำแหลมมลายู หรือหลังลงมาเล็กน้อย โดยพิจารณาจากพุทธลักษณะและลวดลายเครื่องประดับ ซึ่งเป็นแบบลัทธิมหายาน
หมวดที่ ๔ แบบสุโขทัย โดยมากเป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถกำลังก้าวเดิน หรือที่เรียกกันว่าพระลีลา
หมวดที่ ๕ แบบอยุธยา ที่ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ จัดไว้ในหมวดนี้ได้แก่พระพุทธรูปปางต่างๆ ซึ่งประทับอยู่ภายในเรือนแก้ว หรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกกันเป็นสามัญว่าพระโคนสมอ
หมวดที่ ๖ พระเครื่องต่างๆ เช่น พระคง เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันได้มีการขุดค้นพบพระพิมพ์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และได้มีผู้ทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ดังนั้นเพื่อความเหมาะสมจึงอาจแบ่งพระพิมพ์ที่พบนี้ออกเป็นกลุ่ม โดยพิจารณาจากอายุสมัย คติความเชื่อทางลัทธิศาสนา ลักษณะทางประติมานวิทยา และรูปแบบทางศิลปะของพระพิมพ์ได้ ดังนี้
๑. พระพิมพ์แบบทวารวดี หรือพระพิมพ์แบบพระปฐม ตามการจัดหมวดของศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์
พระพิมพ์แบบทวารวดีจัดเป็นพระพิมพ์แบบที่เก่าที่สุดที่พบในประเทศไทย มีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ถึง ๑๖ ศิลปะทวารวดีเป็นศิลปะที่มีศูนย์กลางความเจริญกระจายอยู่บริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยเฉพาะทางแถบจังหวัดนครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี สิงห์บุรี ปราจีนบุรี กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ฯลฯ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการขุดพบพระพิมพ์รูปแบบต่างๆ เป็นจำนวนมาก
พระพิมพ์แบบทวารวดีส่วนใหญ่คงสร้างขึ้นตามคติความเชื่อในพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท ทั้งที่ใช้คัมภีร์บาลีและภาษาสันสกฤต ลักษณะทางประติมานวิทยาของพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นนี้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะอินเดียแบบคุปตะ หลังคุปตะ และแบบปาละอย่างเด่นชัด พระพิมพ์แบบทวารวดีมักสร้างด้วยดินเผา และมักมีการจารึกคาถาหัวใจพระอริยสัจ “เย ธม มา” ด้วยตัวอักษรคฤนถ์ หรือตัวอักษรขอมโบราณเป็นภาษาบาลี
๒. พระพิมพ์แบบศรีวิชัย หรือแบบถ้ำแหลมมลายู
ศิลปะศรีวิชัยเจริญรุ่งเรืองขึ้นบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทยในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๘ โดยได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ หลังคุปตะ ปาละ และเสนะ ควบคู่ไปกับการรับเอาอิทธิพลทางศิลปะจากดินแดนใกล้เคียง เช่น ทวารวดี ชวาภาคกลาง และเขมร อิทธิพลทางศิลปะจากแหล่งต่างๆ ของอาณาจักรศรีวิชัยอาจสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากรูปแบบของบรรดาพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในยุคนี้
พระพิมพ์แบบศรีวิชัยส่วนใหญ่จะสร้างด้วยดินดิบ สันนิษฐานว่าคงสืบเนื่องมาจากคติทางพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ในการอุทิศส่วนกุศลหรือสร้างบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ โดยการนำเอาอัฐิของผู้ตายมาผสมกับดินเหนียวแล้วพิมพ์เป็นพระพุทธรูปหรือรูปพระโพธิสัตว์ และเนื่องจากอัฐินั้นได้ผ่านการเผามาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อนำมาผสมกับดินพิมพ์เป็นรูปเคารพจึงไม่เผาซ้ำอีก
๓. พระพิมพ์แบบหริภุญไชย
ศิลปกรรมแบบหริภุญไชยเป็นศิลปะที่เจริญขึ้นทางภาคเหนือของประเทศ มีลักษณะเป็นสกุลช่างหนึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณจังหวัดลำพูนปัจจุบัน นักวิชาการบางท่านเชื่อว่าศิลปะสกุลช่างหริภุญไชยถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ โดยสันนิษฐานจากเอกสารตำนานพื้นเมืองที่กล่าวถึงการเสด็จขึ้นมาครองเมืองหริภุญไชยของพระนางจามเทวี ธิดากษัตริย์เมืองละโว้ เมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ประกอบกับหลักฐานจากโบราณวัตถุที่พบ เช่น บรรดาพระพิมพ์ต่างๆ ที่มีรูปแบบศิลปะคล้ายกับศิลปะอินเดียแบบคุปตะและหลังคุปตะ ศิลปะพม่าสมัยเมืองพุกาม และพระพิมพ์ในศิลปะแบบทวารวดีที่พบบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
อย่างไรก็ดี พระพิมพ์สกุลช่างหริภุญไชยส่วนใหญ่คงมีอายุอยู่ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๘ เนื่องจากมีรูปแบบทางศิลปะที่อาจเปรียบเทียบได้กับศิลปะอินเดียแบบปาละ (พุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖) และศิลปะเขมรแบบนครวัด – บายน (พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘) เป็นต้นว่าพระพิมพ์ที่นิยมเรียกชื่อกันเป็นสามัญว่าพระรอด พระเลี่ยง พระป๋วย พระกวาง พระสามหอม เป็นต้น
๔. พระพิมพ์แบบเขมรหรือลพบุรี
ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ อิทธิพลของพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานจากประเทศกัมพูชาได้แพร่เข้ามาในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะทางแถบภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ก่อให้เกิดศิลปกรรมที่แสดงอิทธิพลเขมรแบบที่เรียกว่าศิลปะลพบุรีขึ้นทั่วไป ทั้งในรูปของสถาปัตยกรรม เช่น ปราสาทหิน และประติมากรรม เช่น พระพุทธรูป พระพิมพ์ต่างๆ พระพิมพ์แบบลพบุรีมักแสดงภาพพระพุทธรูปหลายองค์ หรือพระพุทธรูปกับพระโพธิสัตว์รวมอยู่ในแผงเดียวกันตามคติของฝ่ายมหายาน เป็นต้นว่า พระพิมพ์ภาพพระรัตนตรัยมหายาน (พระอาทิพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และนางปรัชญาปารมิตา) ที่นิยมเรียกกันเป็นสามัญว่าพระนารายณ์ทรงปืน หรือพระตรีกาย พระพิมพ์ภาพเหวัชมณฑล หรือที่มักเรียกกันว่าพระพิมพ์ปางมหาปาฏิหาริย์ ฯลฯ
นอกจากนี้ พระพิมพ์ลพบุรียังนิยมแสดงภาพพระพุทธรูปองค์เดียว ที่มักรู้จักกันในชื่อสามัญ เช่น พระร่วง พระลพบุรีหูยาน พระเทริดขนนก พระยอดขุนพล หลวงพ่อจุก หลวงพ่อหมอ หลวงพ่อพัด เป็นต้น
๕. พระพิมพ์แบบสุโขทัย
อาณาจักรสุโขทัยถือกำเนิดขึ้นภายหลังการเสื่อมอำนาจทางการเมืองของเขมรที่เคยมีอิทธิพลครอบคลุมเหนือดินแดนแถบนี้มาเป็นเวลาช้านาน วัฒนธรรมสุโขทัยเป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องในพุทธศาสนานิกายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งแตกต่างไปจากวัฒนธรรมเดิมที่เป็นวัฒนธรรมแบบพุทธมหายาน ศิลปกรรมของสุโขทัยจึงมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากวัฒนธรรมเดิมอย่างเห็นได้ชัด ในสมัยนี้นิยมสร้างพระพุทธรูปสี่อิริยาบถ คือ นั่ง นอน ยืน และเดิน (ลีลา) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะลังกา พระพุทธรูปสมัยกรุงสุโขทัยมักมีพระพักตร์เป็นรูปไข่ หรือยาวรีแบบผลมะตูม รัศมีเป็นรูปเปลว พระอุระผายกว้าง ลำพระองค์เรียวได้สัดส่วน ซึ่งถือกันว่ามีความงดงามกว่าสมัยอื่นๆ
ได้มีการขุดพบพระพิมพ์ทั้งในบริเวณเมืองสุโขทัยและเมืองใกล้เคียงที่ร่วมวัฒนธรรมกับสุโขทัย โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแหล่งที่พบและพุทธลักษณะ เช่น
เมืองกำแพงเพชร โดยเฉพาะบริเวณบ้านสวนดอกไม้และบ้านทุ่งเศรษฐี ที่รู้จักกันดี เช่น พระกำแพงเม็ดขนุน พระกำแพงศอก พระกำแพงเปิดโลก พระกำแพงพลูจีบ พระกำแพงซุ้มคอ ฯลฯ เมืองพิษณุโลก เช่น พระนางพญา พระยอดอัฎฐารส พระท่ามะปรางค์ ฯลฯ เมืองสุโขทัย เช่น พระนางพญาเสน่ห์จันทร์ พระนางพญาวัดสระศรี วัดป่ามะม่วง พระลีลามหาธาตุ วัดถ้ำหีบ ฯลฯ
๖. พระพิมพ์แบบอู่ทอง – อยุธยา
กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทยนานกว่า ๔๐๐ ปี ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ศิลปกรรมของอยุธยาได้แสดงให้เห็นถึงการรับเอาอิทธิพลจากอารยธรรมหลายๆ แหล่งที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นก่อนหน้าเข้ามาปรุงแต่งผสมผสานจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง ทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม และประติมากรรม โดยเฉพาะประติมากรรมขนาดเล็ก เช่นบรรดาพระพิมพ์ต่างๆ ที่สร้างขึ้นในช่วงนี้นั้นได้ให้เห็นชัดเจนถึงรูปแบบศิลปะที่รับมาจากที่ต่างๆ ทั้งจากภายใน เช่น ศิลปะทวารวดี ลพบุรี และสุโขทัย ตลอดจนที่รับจากภายนอก เช่น ศิลปะพม่าสมัยเมืองพุกาม และศิลปะอินเดียแบบปาละ
อย่างไรก็ดี ต่อมาภายหลังพระพิมพ์อยุธยาก็ได้มีการพัฒนาจนมีรูปแบบเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เป็นต้นว่า พระพิมพ์ที่แสดงภาพพระพุทธรูปประทับยืนหรือนั่งอยู่ภายในซุ้มที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าซุ้มจิก ซุ้มโพธิ์พฤกษ์ ซุ้มเสมา หรือซุ้มเรือนแก้ว ดังเช่นบรรดาพระพิมพ์ต่างๆ ที่พบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระพิมพ์แบบอู่ทอง – อยุธยา ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น พระหูยาน พระยอดขุนพล กรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะลพบุรี พระท่ากระดาน จังหวัดกาญจนบุรี ศิลปะแบบอู่ทอง พระลีลากรุวัดการ้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย พระหลวงพ่อโต หลวงพ่อโป้ ซึ่งถือเป็นศิลปะแบบอยุธยาบริสุทธิ์ เป็นต้น
ในตอนปลายของสมัยอยุธยา ได้เกิดความนิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งส่งผลถึงพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในช่วงนี้ รวมทั้งได้กลายเป็นแบบแผนให้แก่พระพิมพ์ในสมัยรัตนโกสินทร์ด้วย พระพิมพ์ดังกล่าวได้แก่ที่นิยมเรียกกันเป็นสามัญว่า “พระโคนสมอ” โดยทำเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแสดงปางต่างๆ กันอยู่ภายในซุ้มเรือนแก้ว เป็นต้นว่า ปางถวายเนตร ปางรำพึง ปางอุ้มบาตร ฯลฯ
๗. พระพิมพ์แบบรัตนโกสินทร์
ศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในยุคต้นๆ นั้น ได้รับเอาอิทธิพลทางรูปแบบศิลปะจากอยุธยาเข้ามาอย่างมากมาย ซึ่งย่อมรวมถึงบรรดาพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในช่วงนี้ด้วย พระพิมพ์เหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะพบบรรจุอยู่ในกรุเจดีย์ของวัดต่างๆ ที่สร้างหรือได้รับการบูรณะซ่อมแซมในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เช่น วัดราชนัดดา วัดราชบูรณะ วัดโมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) กรุงเทพฯ เป็นต้น
แต่ต่อมา โดยเฉพาะตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมานั้น คติการสร้างและรูปแบบพระพิมพ์ได้เริ่มแปรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ นอกเหนือไปจากการสร้างไว้บรรจุในกรุเจดีย์เพื่อหวังสืบอายุพระพุทธศาสนาตามคติดั้งเดิมแล้ว ยังสร้างขึ้นเป็น “วัตถุมงคล” เพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ที่นับถือศรัทธา
พระพิมพ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคสมัยนี้ ได้แก่ พระพิมพ์รูปสี่เหลี่ยมชิ้นฟักที่สร้างขึ้นโดยสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งภายหลังได้มีการนำรูปแบบมาสร้างขึ้นอย่างแพร่หลาย และเรียกพระพิมพ์ที่มีลักษณะดังกล่าวว่า “พระสมเด็จ”
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างพระพิมพ์และเหรียญที่เป็นรูปพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงนอกเหนือไปจากพระพิมพ์ภาพพระพุทธองค์เพิ่มขึ้นอีกมาก ทั้งนี้คงสืบเนื่องมาจากอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตก ที่นิยมการสร้างเหรียญเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสพิเศษต่างๆ ซึ่งในระยะแรกได้รับความนิยมสร้างขึ้นเนื่องในงานพิธีสำคัญๆ ในราชสำนัก ต่อมาจึงได้แพร่หลายสู่ประชาชนทั่วไป
สิ่งเหล่านี้ทำให้รูปแบบของพระพิมพ์ในยุคนี้มีความหลากหลายแตกต่าง จนแทบไม่สามารถกำหนดเป็นรูปแบบเฉพาะได้ หากแต่จะมีรูปลักษณ์ที่ผิดแผกไปตามความนิยมของบรรดาเกจิอาจารย์ผู้สร้างพระพิมพ์นั้นๆ
อย่างไรก็ดี นอกจากบรรดาพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งบรรจุอยู่ภายในกรุเจดีย์ของวัดวาอารามต่างๆ ดังตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อาจมีพระพิมพ์อีกแบบหนึ่งที่น่าจะถือเป็นตัวแทนของพระพิมพ์ในสมัยนี้ได้ คือ พระพิมพ์ภาพพระพุทธรูปปางลีลา ซึ่งสร้างขึ้นเนื่องในโอกาสฉลองอายุพุทธศาสนากึ่งพุทธกาลเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ พระพิมพ์ดังกล่าวได้นำแบบอย่างมาจากพระพุทธรูปปางลีลาที่ออกแบบปั้นขึ้นโดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ มีลักษณะเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะสุโขทัยกับศิลปะตะวันตก กล่าวคือ มีเค้าพระพักตร์ พระเกตุมาลา พระศก และพระรัศมีรูปเปลว รวมทั้งพระอิริยาบถลีลาอันอ่อนช้อยเป็นแบบศิลปะสุโขทัย แต่พุทธประติมานและลักษณะการครองผ้ามีลักษณะเหมือนจริงตามธรรมชาติอันเป็นลักษณะของศิลปะตะวันตก
พระพิมพ์ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนถึงเกือบ ๕ ล้านองค์ โดยส่วนใหญ่เป็นพระเนื้อชินและเนื้อดินผสมผง และส่วนหนึ่งถูกนำไปบรรจุในกรุพระเจดีย์สำคัญๆ ทั่วประเทศ
|